ข่าวเศรษฐกิจ

สหรัฐจ่อขึ้นค่าวีซ่า 50% ภายในเดือน ก.ย. ปีนี้

2 ก.พ. 65
สหรัฐจ่อขึ้นค่าวีซ่า 50% ภายในเดือน ก.ย. ปีนี้

สหรัฐจ่อขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่ามากกว่า 50% ครอบคลุม "ทุกประเภท" ภายในเดือน ก.ย. ปีนี้ วีซ่าทำงานแพงสุด บวกเพิ่มรวดเดียว 120 ดอลลาร์ ทะลุ 1 หมื่นบาท


สำนักข่าว VOA ของสหรัฐ ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐได้เสนอขึ้นค่าธรรมเนียมการขอวีซ่าประเภทคนเข้าเมืองแบบไม่ถาวร (Nonimmigrant visa) เช่น วีซ่านักท่องเที่ยว วีซ่านักธุรกิจ และวีซ่านักเรียน และวีซ่านักธุรกิจ ซึ่งเป็นวีซ่าประเภทที่มีผู้ยื่นขอเพื่อเดินทางเข้าสหรัฐมากที่สุด ภายในเดือนกันยายนปีนี้ โดยจะเปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวจนถึงวันที่ 28 ก.พ.

 

ภายใต้แผนการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมการขอวีซ่าครั้งนี้ อาจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลักๆ คือ

 

1. วีซ่านักท่องเที่ยว B1 และ B2 / วีซ่านักเรียนประเภท F, M และ J (แต่ไม่รวมวีซ่านักธุรกิจ หรือ E Visa)  

  • ค่าธรรมเนียมเดิม 160 ดอลลาร์ (ราว 5,300 บาท)
  • ปรับเพิ่ม 85 ดอลลาร์ (ราว 2,800 บาท) / +53%
  • ค่าธรรมเนียมใหม่ 245 ดอลลาร์ (ราว 8,100 บาท)


2. วีซ่าทำงาน (วีซ่าประเภท H, L, O, P, Q และ R)

  • ค่าธรรมเนียมเดิม 190 ดอลลาร์ (ราว 6,300 บาท)
  • ปรับเพิ่ม 120 ดอลลาร์ (ราว 4,000 บาท) / +63%
  • ค่าธรรมเนียมใหม่ 310 ดอลลาร์ (ราว 10,300 บาท)


3. บัตรผ่านแดน (Border Crossing Card)

  • ค่าธรรมเนียมเดิม 160 ดอลลาร์ (ราว 5,300 บาท)
  • ปรับเพิ่ม 85 ดอลลาร์ (ราว 2,800 บาท) / +53%
  • ค่าธรรมเนียมใหม่ 245 ดอลลาร์ (ราว 8,100 บาท)

*หมายเหตุ: อัตราแลกเปลี่ยนที่ 33.2 บาท/1 ดอลลาร์สหรัฐ

 


กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐให้เหตุผลว่า การขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่าเป็นผลจากการประเมินค่าใช้จ่ายที่แท้จริงของการให้บริการ บวกกับการคาดการณ์เรื่องความต้องการในอนาคต

 

อย่างไรก็ตาม นายเดวิด เบียร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายคนเข้าเมืองของสถาบัน Cato กล่าวกับวีโอเอว่า ปัจจุบันตัวเลขการเดินทางและการท่องเที่ยวไปยังสหรัฐกำลังลดลงอยู่ในระดับต่ำที่สุด และกระทรวงต่างประเทศยังกำหนดให้ผู้ขอวีซ่าท่องเที่ยว และวีซ่าธุรกิจ ต้องรอเป็นเวลา 6 เดือนถึง 1 ปีด้วย ดังนั้น หากปรับขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า แต่ไม่ปรับแก้ปัญหาเรื่องระยะเวลาการรอวีซ่าที่นานขึ้น ก็อาจฉุดให้จำนวนนักศึกษาและนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปสหรัฐลดลงตามมา

 

ขณะที่นายจิล เวลช์ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านนโยบายของกลุ่มพันธมิตรด้านการศึกษาและคนเข้าเมือง แสดงความเห็นว่า การขึ้นค่าธรรมเนียมควรเป็นผลให้มีบริการที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอควรทำให้เวลาที่ต้องรอวีซ่าลดลง

 

ทั้งนี้ กระทรวงต่างประเทศสหรัฐได้ระงับการให้บริการวีซ่าที่สถานทูตและสถานกงสุลทั่วโลกเป็นการชั่วคราว ในปี 2020 จากข้อจำกัดด้านโควิด-19 แม้ปัจจุบันจะเริ่มมีการกลับมาให้บริการแล้ว แต่ก็ยังมีอยู่ราว 25% ที่ยังคงปิดอยู่หรือให้บริการเพียงบางส่วนเท่านั้น ขณะที่ข้อมูลของสถานกงสุลสหรัฐส่วนใหญ่ในต่างประเทศ ระบุว่า ในขณะนี้ ผู้ขอวีซ่าท่องเที่ยวกับวีซ่าธุรกิจในสหรัฐ ต้องรอเวลานัดสัมภาษณ์ถึง 202 วัน ส่วนวีซ่านักศึกษาต้องรอ 38 วัน โดยเพิ่มขึ้นจาก 25 วันเมื่อปีที่แล้ว

 

สมาคมนักการศึกษาระหว่างประเทศ NAFSA เปิดเผยว่า นักศึกษาต่างชาติในอเมริกานำเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของสหรัฐมากถึงเกือบ 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์ และช่วยสนับสนุนงานกว่า 450,000 ตำแหน่ง ในช่วงปีการศึกษา 2018 - 2019 แต่ปัจจุบัน ยอดกลับลดลงเกือบครึ่งเหลือเพียง 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์ สำหรับปีการศึกษา 2020 - 2021 เท่านั้น

 

อย่างไรก็ดี นายมาร์เซโล บาร์รอส ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการทำงานของนักศึกษาต่างชาติในกรุงวอชิงตัน ให้ความเห็นว่า ถึงแม้การขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น แต่ก็คงจะไม่เปลี่ยนใจใครเกี่ยวกับการเดินทางไปสหรัฐอย่างแน่นอน เพราะสำหรับนักศึกษาต่างชาติที่ตัดสินใจจะไปเรียนต่อในสหรัฐ หรือสำหรับผู้ที่จะไปทำงานให้กับบริษัทอเมริกันแล้ว พวกเขาก็จะยอมจ่ายค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นอยู่ดี

 

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เคยเปิดเผยร่างกฏหมาย U.S. Citisenship Act of 2021 เพื่อปฏิรูประบบคนเข้าเมืองของสหรัฐ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้คนต่างด้าวผู้อาศัยอยู่ในประเทศโดยไม่มีเอกสารอย่างถูกต้องราว 11 ล้านคน มีโอกาสได้สัญชาติอเมริกันภายใน 8 ปี รวมทั้งมีแผนจะแก้ปัญหาเรื่องวีซ่าการทำงานในสหรัฐที่ยังคั่งค้างอยู่มาก แต่ร่างกฎหมายฉบับนี้ก็ยังไม่ผ่านสภา และหลายคนเชื่อว่าอาจจะไม่มีโอกาสผ่านออกมาเป็นกฎหมายบังคับใช้ด้วย 

 

 

advertisement

SPOTLIGHT