สศค.ชี้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับโครงสร้างประชากรไทยที่พบว่า ตั้งแต่ปี 2564 อัตราการเกิดต่ำกว่าอัตราการตาย และอีก 3 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะเข้าสูงสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจหลายด้าน ทั้งการขาดแรงงาน ภาระทางการคลังให้กับรัฐบาล เศรษฐกิจในภาพรวมถูกกระทบ
นายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลังระบุ ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์เด็กเกิดใหม่ลดลง ในขณะที่ ประชากรมีแนวโน้มที่จะอายุยืนยาวมากขึ้น เพราะเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันที่ก้าวหน้ามากกว่าในอดีต
โดยจากข้อมูลของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ คาดการณ์ว่า ในปี 2568 หรืออีก 3ปีข้างหน้า จะเป็นปีแรกที่ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สังอายุโดยสมบูรณ์ นั่นคือ มีจำนวนผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปี หรือมากกว่า อยู่ประมาณ 14.5 ล้านคน คิดเป็น 20.7% ของประชากรทั้งหมด
นอกจากนี้ในอีก 18 ปีข้างหน้านับจากปี 2564 ก็คือ ปี 2583 หรือค.ศ. 2040 ประชากรสูงอายุจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยจะเพิ่มจาก 12.2 ล้านคนในปี 2564 เป็น 20.4 ล้านคนในปี 2583 แต่ในขณะที่ประชากรในวัยทำงาน (อายุ 15-59 ปี) จะลดลงจาก 43 ล้านคน เหลือ 36 ล้านคน ส่งผลให้สัดส่วนประชากรวัยแรงงานต่อประชากรจะลดลงจาก 3.5 คนต่อ 1 คน เหลือเพียง 0.6 คนต่อ 1 คนเท่านั้น นั่นแปลว่า อัตราส่วนพึ่งพิงของผู้สูงอายุต่อวัยแรงงานเพิ่มขึ้นจาก 28.4 คนต่อวัยแรงงาน 100 คน ในปี 2564 เป็นผู้สูงอายุ 56.2 คนต่อวัยแรงงาน 100 คน ในปี 2583 นั่นเอง
ขณะเดียวกัน จากข้อมูลล่าสุดในปี 2564 นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ประชากรเกิดใหม่ของไทยต่ำกว่า 6 แสนคน โดยอยู่ที่ประมาณ 5.4 แสนคน น้อยกว่าจำนวนประชากรที่เสียชีวิตซึ่งอยู่ที่ 5.6 แสนคน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะทำให้ประชากรไทยมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ หากจำนวนประชากรเกิดใหม่ยังไม่กลับมาเพิ่มสูงกว่าหรือเท่ากับจำนวนประชากรที่เสียชีวิต ขณะที่จำนวนประชากรสูงอายุกำลังเพิ่มสูงขึ้น จะเป็นการเร่งให้โครงสร้างประชากรไทยเข้าสู่ภาวะสังคมผู้สูงอายุเร็วขึ้น
4 ผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ คือ
1.ผลิตภาพรวมของประเทศ (Aggregate Productivity) จะลดลง จากจำนวนแรงงานและสัดส่วนคนทำงานที่ลดลง เนื่องจาก แรงงานถือเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญของประเทศไทย ดังนั้น การลดลงของจำนวนแรงงานและสัดส่วนคนทำงานย่อม อาจทำให้ผลิตภาพรวมของประเทศไทยลดลงด้วยเช่นกัน และอาจส่งผลสืบเนื่องต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในช่วงระยะเวลาต่อไป
นอกจากนี้ ภาวการณ์ขาดแคลนแรงงานที่เพิ่มขึ้นอาจนำไปสู่ค่าแรงที่ปรับสูงขึ้นในอนาคต ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อได้ หากประเทศไทยไม่มีการปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อมาทดแทนแรงงานที่หายไป
2.อุปสงค์ภายในประเทศจะเปลี่ยนแปลงไป โดยจำนวนและสัดส่วนคนวัยชราเพิ่มขึ้นย่อมส่งผลให้รูปแบบความต้องการสินค้าและบริการของประชากรส่วนใหญ่ในประเทศเปลี่ยนแปลงไป
โดยสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ อาทิ สินค้าเพื่อสุขภาพ และบริการทางการแพทย์ จะมีแนวโน้มเป็นที่ต้องการเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ สินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสังคมและการทำงานจะมีแนวโน้มเป็นที่ต้องการลดลง อย่างไรก็ดี หากผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการยังชีพหรือมีฐานะยากจน ปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ภายในประเทศที่อาจจะชะลอลงในช่วงระยะเวลาต่อไปได้เช่นกัน
3.ภาระทางการคลังของประเทศจะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องมาจากประเทศจะสามารถจัดเก็บภาษีเงินได้ ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศจากแรงงานวัยทำงานได้น้อยลง ขณะเดียวกัน จำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น ย่อมส่งผลกระทบให้ภาครัฐมีค่าใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุขและสวัสดิการคนชราที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งหากสถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้รับการแก้ไขย่อมนำไปสู่การขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นเพื่อมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณเนื่องจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น
4.การออมและการลงทุนในประเทศจะลดลง สถานการณ์สังคมผู้สูงอายุอาจส่งผลกระทบต่อภาวะการออมและการลงทุนในประเทศ เนื่องจาก กลุ่มประชากรส่วนใหญ่ที่เกษียณออกจากงานมักจะใช้จ่ายจากเงินออมที่ตนได้เก็บสะสมเอาไว้ในช่วงที่ทำงาน ซึ่งอาจส่งผลให้ภาพรวมการออมภายในประเทศลดลง
สำหรับแนวทางการแก้ไขและบรรเทาสถานการณ์เศรษฐกิจที่ได้รับสังคมผู้สูงอายุดังกล่าว มีข้อเสนอแนะ 3 ประการ ดังต่อไปนี้
1.การเร่งปฏิรูปตลาดแรงงาน เพื่อชดเชยสถานการณ์ที่จำนวนแรงงานมีแนวโน้มจะลดน้อยลงไป ทั้งในแง่ของการยกระดับทักษะแรงงานเพื่อยกระดับผลิตภาพการผลิตและการเพิ่มการมีส่วนร่วมของกำลังแรงงานหญิงในตลาดแรงงานให้มากขึ้น เพื่อชดเชยปริมาณแรงงานที่หายไป นอกจากนี้ การสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชากรสูงวัยที่เกษียณไปแล้วยังคงทำงานต่อเนื่อง และการจูงใจให้แรงงานต่างชาติที่มีทักษะเข้ามาทำงานในประเทศเพิ่มมากขึ้นก็เป็นอีกทางเลือกที่หน่วยงานภาครัฐอาจพิจารณาผลักดันให้เกิดขึ้นได้
2.การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐ และการขยายฐานภาษีประเภทใหม่ๆ เพื่อรองรับภาระทางการคลังที่เพิ่มขึ้นเนื่องมาจากสถานการณ์สังคมผู้สูงอายุ โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลตรวจสอบและอุดรูดรั่วทางภาษีต่างๆ และการจัดเก็บภาษีประเภทใหม่ๆ อาทิ ภาษีเงินได้ธุรกรรมดิจิทัล ซึ่งเป็นภาษีใหม่ที่ทั่วโลกให้ความสนใจ และภาษีสิ่งแวดล้อม ที่อาจจัดเก็บจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น กิจการเหมืองขุดเงินคริปโตเคอเรนซี่ เป็นต้น และอาจรวมถึง การพิจารณาเพิ่มอัตราภาษีของการจัดเก็บภาษีบางประเภท อาทิ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อสร้างรายได้ภาษีที่เพียงพอจะชดเชยรายได้ภาษีส่วนที่หายไปจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร
3.การสร้างระบบการออมและหลักประกันวัยเกษียณที่ครอบคลุมและเพียงพอต่อแรงงานทุกประเภท ทั้งแรงงานในระบบและนอกระบบ รวมถึงแรงงานแพลตฟอร์มที่เป็นแรงงานประเภทใหม่ที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน ผ่านการสนับสนุนการออมระยะยาว โดยแรงงานควรมีการออมตามสัดส่วนของรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นตามอายุการทำงาน เพื่อให้แรงงานทุกกลุ่มสามารถมีรายได้ที่เพียงพอต่อการดำรงชีพในยามที่ไม่ได้ทำงาน
ผลักดันเกิดการออมภาคบังคับ
สำหรับกรณีของแรงงานแพลตฟอร์มที่เป็นแรงงานประเภทใหม่และส่วนใหญ่มีรายได้ค่อนข้างสูงกว่าแรงงานนอกระบบ ประเทศไทยอาจจะกำหนดให้แรงงานดังกล่าวมีการออมแบบภาคบังคับ (Compulsory Savings) โดยจะหักเป็นร้อยละของรายได้แต่ละเดือนเข้ากองทุนประกันสังคมในกรณีที่เดือนนั้นมีรายได้ ขณะที่ หากในเดือนใดก็ตามที่ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ที่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด แรงงานดังกล่าวก็จะไม่โดนหักรายได้เข้ากองทุนประกันสังคม
“การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมสูงวัยเป็นความท้าทายทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งสิ่งสำคัญในการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวต้องอาศัยการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดผลกระทบทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม และเพื่อร่วมสร้างอนาคตที่ดีให้กับผู้สูงอายุ โดยมีหลักประกันที่มั่นคงด้านรายได้หลังเกษียณต่อไป”