หลังจากกระทรวงวัฒนธรรม ประกาศรายชื่อ 77 เมนูอาหาร จาก 77 จังหวัดในกิจกรรม “1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น” ก็เกิดกระแสวิพากษวิจารณ์ในวงกว้าง เช่น คนในพื้นที่ไม่รู้จักเมนูอาหารที่ได้รับคัดเลือก หรือ บางคนมองว่า ประกาศรายชื่อเมนูไปแล้ว แต่ในพื้นที่จริงกลับไม่สามารถหารับประทานได้ จะกลายเป็นเมนูประจำถิ่นได้อย่างไร
ที่จริงแล้ววัตถุประสงค์ของโครงการนี้ จัดขึ้นเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ของอาหารไทย อาหารท้องถิ่น ที่มีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตคนไทยในอดีต ในกิจกรรม "1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น" ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการส่งเสริมและพัฒนายกระดับอาหารถิ่น สู่มรดกทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ความเป็นไทย (Thailand Best Local Food) "รสชาติ...ที่หายไป The Lost Taste" ประจำปี 2566
ชื่อของโครงการมีสโลแกนว่า “รสชาติที่หายไป” ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทั้ง 77 เมนูที่ถูกคัดเลือก จะเป็นเมนูที่เราไม่คุ้นชื่อ หรือไม่แปลกที่จะไม่รู้จัก เพราะการคัดเลือก ไม่ได้เลือกจากอาหารขึ้นชื่อประจำจังหวัด หรือ OTOP แต่ทั้ง 77 เมนูนั้นเป็นการสืบค้นประวัติศาสตร์อาหารในแต่ละพื้นที่ ว่ามีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตคนไทยอย่างไร
หลักการคัดเลือกคือ เมนูอาหารประจำถิ่นที่กำลังเลือนหายไป เมนูเหล่านั้นมีส่วนผสมของสมุนไพร พืชพื้นถิ่นอยู่ด้วยทุกเมนู ซึ่งทางกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จะมีการจัดงาน 1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น” และจัดทำโล่รางวัลเพื่อมอบให้แก่จังหวัดที่เข้าร่วม ในวันที่ 21 กันยายนนี้อีกครั้ง และจะมีการจัดกิจกรรมคัดเลือกทุกปี
เป้าหมาของโครงการนี้คือ เป็นการรณรงค์ส่งเสริมให้คนไทยได้ตระหนักและเกิดความภาคภูมิใจกระตุ้นให้เกิดการยกระดับอาหารไทยพื้นถิ่น และยังเป็นการผลักดันให้เป็นเมนูซอฟพาวเวอร์ ส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกด้วย เพราะอีกด้านหนึ่งก็มีคนจำนวนไม่น้อย ที่อยากลองชิมเมนูที่ไม่คุ้นชื่อเหล่านี้เช่นกัน ไปสำรวจกันอีกทีว่า รู้จักเมนูเหล่านี้กันมั้ย ?
"1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น" ปี 2566 จำนวน 77 เมนู ดังนี้ (ดูรูปภาพที่ Gallery ด้านล่าง)
- ข้าวตอกตั้ง : กรุงเทพมหานคร
- แกงมัสมั่นกล้วยไข่ : กำแพงเพชร
- ยำไกน้ำของ (สาหร่ายแม่น้ำโขง) : เชียงราย
- ตำจิ๊นแห้ง : เชียงใหม่
- เมี่ยงจอมพล : ตาก
- ทอดมันปลากราย : นครสวรรค์
- แกงแคไก่พื้นเมือง : น่าน
- หลนปลาส้มพะเยา : พะเยา
- ยำส้มโอกระทงทองสูตรเมืองชาละวัน : พิจิตร
- น้ำพริกเม็ดบัวปลาย่าง : พิษณุโลก
- ปิ้งไก่ข้าวเบือ : เพชรบูรณ์
- น้ำพริกน้ำย้อย : แพร่
- ข้าวส้ม โถ่โก้ : แม่ฮ่องสอน
- ยำปลาแห้ง : ลำปาง
- แกงฮังเลลำไย อำเภอเมืองลำพูน : ลำพูน
- ข้าวเปิ๊บสุโขทัย : สุโขทัย
- อั่วบักเผ็ด : อุตรดิตถ์
- ข้าวแดะงา : กาฬสินธุ์
- ปลาแดกบองสมุนไพร : ขอนแก่น
- คั่วเนื้อคั่วปลา : ชัยภูมิ
- เมี่ยงตาสวด : นครพนม
- เมี่ยงคำ (โคราช) : นครราชสีมา
- หมกหม้อปลาน้ำโขง : บึงกาฬ
- ขนมตดหมา : บุรีรัมย์
- แจ่วฮ้อนท่าขอนยาง : มหาสารคาม
- ตำเมี่ยงตะไคร้ ลำข่าสดใส่มดแดง : มุกดาหาร
- อั่วกบ (กบยัดไส้) : ยโสธร
- ข้าวปุ้นน้ำยาปลาหลด : ร้อยเอ็ด
- ส้าปลาน้ำโขง : เลย
- ละแวกะตาม : ศรีสะเกษ
- แกงหวาย : สกลนคร
- เบาะโดง (น้ำพริกมะพร้าวโบราณ) : สุรินทร์
- หลามปลาน้ำโขง : หนองคาย
- เมี่ยงคำลำภู : หนองบัวลำภู
- อู๋พุงปลา : อำนาจเจริญ
- ข้าวต้มมัดบัวแดง อำเภอเมืองอุดรธานี : อุดรธานี
- ลาบหมาน้อย : อุบลราชธานี
- แกงส้มญวน : กาญจนบุรี
- ต้มปลาร้าหัวตาล : ชัยนาท
- ยำส้มโอ : นครปฐม
- ข้าวตอกน้ำกะทิทุเรียนนนท์ : นนทบุรี
- เมี่ยงคำบัวหลวง : ปทุมธานี
- แกงคั่วส้มหน่อธูปฤาษีกับปลาช่อนย่าง : ประจวบคีรีขันธ์
- แกงเหงาหงอด : พระนครศรีอยุธยา
- แกงหัวตาล : เพชรบุรี
- แกงกะลากรุบ : ราชบุรี
- ยำปลาส้มฟัก : ลพบุรี
- แกงรัญจวน : สมุทรสงคราม
- ต้มยำปลาทูโบราณ : สมุทรสาคร
- แกงบวน : สิงห์บุรี
- ปลาหมำสมุนไพรทอดกรอบ : สุพรรณบุรี
- ปลาแนม : อ่างทอง
- ต้มส้มปลาแรด : อุทัยธานี
- ลุกกะทิ หรือน้ำพริกกะทิชองพร้อมผักเคียง : จันทบุรี
- หมูหงส์ : ฉะเชิงเทรา
- ปลาคก : ชลบุรี
- แกงเลียงกะแท่งหอยนางรม : ตราด
- น้ำพริกป่ามะดัน : นครนายก
- แกงกะทินางหวาน : ปราจีนบุรี
- แกงส้มผักกระชับ : ระยอง
- ขนมย่างจากใจ : สมุทรปราการ
- น้ำพริกกะสัง : สระแก้ว
- ลาบหัวปลี : สระบุรี
- ปลาจุกเครื่อง : กระบี่
- แกงส้มหยวกกล้วยกับหมูสามชั้น : ชุมพร
- โกยุก : ตรัง
- ขนมปะดา : นครศรีธรรมราช
- อาเกาะ : นราธิวาส
- ข้าวยำ : ปัตตานี
- อาจาดหู : พังงา
- แกงขมิ้น : พัทลุง
- น้ำซุปเมืองหลาง 9 อย่าง : ภูเก็ต
- ข้าวยำโจร (ข้าวยำคลุกสมุนไพร) : ยะลา
- ก็กซิมบี้ : ระนอง
- ข้าวสตู : สงขลา
- ข้าวเหนียวเหลืองแกงแพะ : สตูล
- แกงขมิ้นไตปลาโบราณ : สุราษฎร์ธานี