ถ้าสังเกตดูให้ดีกับความพยายามของรัฐบาลก่อนจนถึงรัฐบาลปัจจุบัน คือการดึงดูดผู้ที่มีศักยภาพและรายได้สูงเข้ามา พักอาศัยและทำธุรกิจในประเทศไทยมีมาตรการในการดึงดูดใจทั้งวีซ่าระยะยาว สิทธิพิเศษด้านภาษีรวมถึงการส่งเสริมการลงทุนต่างๆ
ในภาวะที่เรายังตามหา S-Curveใหม่และพยายามผลักดันกันอยู่แบบนี้ สิ่งที่ถือเป็นตัวเปลี่ยนเกมได้เร็ว(Quick Win)ของไทยคือการดึงดูดเงินลงทุนจากมหาเศรษฐีระดับโลกที่เราเรียกกันว่ากลุ่มบุคคลมั่งคั่งผู้มีสินทรัพย์สูงเป็นพิเศษดูจะเป็นไปได้มากที่สุดทางหนึ่ง
กลุ่มบุคลลผู้มีความมั่งคั่งสูงเป็นพิเศษ หรือ Ultra High Net Worth Individuals (UHNWIs) คือ ผู้ที่มีสินทรัพย์สุทธิมากกว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1,050 ล้านบาทขึ้นไป พูดง่ายๆคือต้องเป็นระดับเศรษฐีพันล้านถึงจะถูกนับรวมในกลุ่มนี้ จากข้อมูลของ Merkel Captial พบว่าในปี 2565 กลุ่มมหาเศรษฐีเหล่านี้มีเกือบ 4 แสนคนทั่วโลก คิดเป็นมูลค่าความมั่งคั่งถึง 45 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า 1.5 พันล้านล้านบาท
ตัวเลขนี้ก็สอดคล้องกับการจัดอันดับมหาเศรษฐีที่เราได้ยินได้ฟังกันบ่อยครั้ง ทวีปอเมริกาเหนือยังมีมหาเศรษฐีมากที่สุด รองลงมาคือทวีปเอเชียที่มีประมาณ 1 แสนคน คิดเป็น 27% ของทั้งหมด ซึ่งความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีเอเชียลดลงไปประมาณ 10% จากปัญหาเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวรวมทั้งปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์
ส่วนประเทศไทยนั้น คาดว่ากลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูงเป็นพิเศษจะอยู่ที่ 1 พันคน ในปี 2568 นี้ ซึ่งเจอกับความท้าทายทางเศรษฐกิจทั้งสงครามการค้า โครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ไม่เอื้อต่อการแข่งขันในโลกยุคใหม่ รวมทั้งการเข้าสู่สังคมสูงอายุที่ทำให้การบริโภคของคนไทยไม่ร้อนแรงเหมือนเคย
ผู้เขียนมีโอกาสได้นั่งคุยกับราล์ฟ โบโกเซียน ทายาทรุ่นที่ 6 ของอาณาจักรธุรกิจโบโกเซียนที่มาจัดงานเครื่องเพชรชั้นสูงศึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากวัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้วมรกตในการออกแบบ โดยจัดแสดงที่วังวิทยุ สถานที่ทางประวัติศาสตร์ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ
โบโกเซียน (Boghossian) เป็นแบรนด์เครื่องประดับชั้นสูงจากยุโรป มีความโดดเด่นด้านการออกแบบและมุมมองด้านศิลปะ เป็นธุรกิจของครอบครัวโบโกเซียนที่ทำเครื่องประดับมีค่ามาช้านานในพื้นที่ตะวันออกกลาง ก่อนจะนำเข้าพลอยสีจากอินเดีย ไทยและโคลอมเบียเข้ามาทำตลาดเพื่อสร้างความแตกต่าง จากนั้นขยายธุรกิจเข้าไปยุโรปจนกลายเป็นเครื่องประดับไฮเอนด์ของนักสะสมและชนชั้นสูงในยุโรป
โบโกเซียนโดดเด่นในการใช้อัญมณีสวยงามที่หายาก รวมทั้งเทคนิคการฝัง (Inlay) ที่ถือเป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์ที่เป็นที่จดจำ ปัจจุบันมีร้านระดับแฟลกชิพในหลายเมืองใหญ่ทั่วโลกทั้งเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และ โมนาโก สำหรับลูกค้าชาวไทยหากต้องการซื้อเครื่องประดับ ถ้าไม่ได้ไปที่ยุโรปก็สามารถใช้บริการได้ที่ร้านค้าในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาหรือไม่ก็ฮ่องกง
ด้วยตำแหน่งทางการตลาดที่เฉพาะกลุ่มหรือ Niche Market การรับรู้ของแบรนด์ในกลุ่มผู้ซื้ออัญมณีในเอเชียรวมทั้งประเทศไทยจึงยังไม่แพร่หลายนัก เนื่องจากลูกค้าของโบโกเซียนจะยังเป็นกลุ่มผู้มั่งคั่งสินทรัพย์สูงเป็นพิเศษและใช้กลยุทธ์ช่องทางการจัดจำหน่ายพิเศษ (Exclusive Channel Distribution) ตามวิถีของแบรนด์ชั้นสูงที่ทำกันมาอย่างต่อเนื่อง
ราล์ฟบอกว่า กลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสินทรัพย์สูงเป็นพิเศษ จะให้ความสำคัญกับการลงทุนในของมีค่า อย่างเช่นอัญมณีหายาก ซึ่งราคาปรับตัวขึ้นแบบก้าวกระโดดในช่วงที่ผ่านมา ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือแซฟไฟร์หายาก ราคาปรับเพิ่มขึ้น4- 5 เท่าตัวนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ผ่านมา หรืออย่างทับทิมจากเหมืองโมโกะของเมียนมาร์ ที่หายาก และมูลค่าสูงมากก็ยังอยู่ในความสนใจของบรรดามหาเศรษฐีที่จะซื้อไว้ครอบครองหรือลงทุนสำหรับอนาคต
“เราอาจคิดว่าเพชรที่เห็นกันทั่วไปเป็นสิ่งที่แพงที่สุด แต่ความจริงไม่ใช่นะครับทับทิมหายากแพงกว่าเพชรเยอะเลย หลายชิ้นก็ประเมินค่าไม่ได้แล้ว” ราล์ฟกล่าวกับ Spotlight
นอกจากนี้เขายังเห็นโอกาสของประเทศไทย ที่นักท่องเที่ยวเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญของโลกจากนี้ความต้องการ บริการและที่พักอาศัยระดับบนก็น่าจะเพิ่มมากขึ้นด้วย ไม่เพียงเพราะประเทศไทยมีธรรมชาติที่สวยงาม แต่ว่ายังมีความเป็นกลางและปลอดภัยทางการเมือง ผู้คนเป็นมิตรและมีโอกาสสำหรับการเป็นศูนย์กลางภูมิภาคได้
แน่นอนว่าโบโกเซียนกำลังคิดจะเปิดธุรกิจในประเทศไทยเป็นแห่งแรกถัดจากฮ่องกงเพื่อรองรับลูกค้าในประเทศและกลุ่มต่างชาติศักยภาพสูงที่แวะเวียนมาเมืองไทย
สำหรับบรรดามหาเศรษฐี นอกจากจะมีบริษัททางการเงิน ช่วยบริหารจัดการธุรกิจของครอบครัว บริหารความมั่งคั่ง ช่วยส่งเสริมทายาทธุรกิจที่จะมารับช่วงต่อรวมทั้งการจัดตั้งทรัสต์ของตระกูลแล้ว การลงทุนในสินค้าหรูหรารวมทั้งอัญมณีมีค่าก็ยังเป็นทางเลือกหนึ่งมาโดยตลอดและมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น
ผู้บริหารของโบโกเซียนเชื่อว่าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้น่าจะออกกลยุทธ์ใหม่ๆเพื่อแข่งขันกันดึงดูดบุคคลศักยภาพสูงให้เข้ามาลงทุนรวมทั้งเป็นพลเมืองของประเทศเข้มข้นมากขึ้นอีกนับจากนี้
กลยุทธ์ 80/20 (เน้นลูกค้ารายใหญ่และกำไรดี) ยังใช้ได้เสมอ และดูเหมือน บรรดาผู้มีอันจะกิน ก็ยังจะชี้นำโลกใบนี้ต่อไป
นักข่าวเศรษฐกิจและผู้ก่อตั้งเพจ BizKlass