ค่าเงินบาททะลุ 37.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หลังเงินดอลลาร์แข็งค่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีพุ่งไม่หยุด คนแห่ซื้อทอง ด้านธปท.จับตาค่าเงินบาท พร้อมเข้าดูแลหากค่าเงินบาทผันผวน
“ ค่าเงินบาทไทยทะลุ 37.07 บาท/ดอลลาร์ เช้านี้ หลัง หลังเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวขึ้น ตามรายงานดัชนี ISM PMI สหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด” นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย กล่าว
รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่ยังคงสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อ จนกว่าเฟดจะมั่นใจว่า สามารถคุมเงินเฟ้อได้สำเร็จ ซึ่งภาพดังกล่าวยังได้ส่งผลให้ ราคาทองคำปรับตัวลงต่อเนื่อง และโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง
ตามรายงานดัชนี ISM PMI สหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่ยังคงสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อ จนกว่าเฟดจะมั่นใจว่า คุมเงินเฟ้อได้สำเร็จ ซึ่งภาพดังกล่าวยังได้ส่งผลให้ ราคาทองคำปรับตัวลงต่อเนื่อง และโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง
ขณะที่ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน (Higher for Longer) ทว่า หุ้นเทคฯ ใหญ่ (The Magnificent Seven) นำโดย Nvidia +3.0% สามารถปรับตัวขึ้น แม้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะทำจุดสูงสุดใหม่ทะลุระดับ 4.70% ก็ตาม โดย Nvidia และหุ้นเทคฯ ใหญ่ ได้รับแรงหนุนจากมุมมองของนักวิเคราะห์ที่ยังคงแนะนำการลงทุนในธีม AI ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.67% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.01%
ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 พลิกกลับมาลดลงกว่า -1.03% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานของบรรดาธนาคารกลางหลัก ที่หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี ต่างปรับตัวสูงขึ้น รวมถึง ความกังวลแนวโน้มการชะลอตัวลงต่อเนื่องของเศรษฐกิจยูโรโซน นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน (BP -2.3%) หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงแรง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และความกังวลว่า ซาอุฯ อาจกลับมาเพิ่มกำลังการผลิตได้
ด้านตลาดบอนด์ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งยังคงสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อไป รวมถึงรายงานดัชนี ISM PMI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 4.70% อีกครั้ง
ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ระยะยาวไม่ได้เหนือความคาดหมาย เนื่องจากมองว่า นักลงทุนควรทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงบอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้น เนื่องจาก Risk-Reward (มอง Total Return และ Real Yield) มีความคุ้มค่า นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างมีสถานะ Short บอนด์ระยะยาวกันมาก ทำให้ หากมีปัจจัยที่ทำให้มุมมอง Higher for Longer เปลี่ยนไป และการทยอยปิดสถานะ Short อาจช่วยหนุนให้บอนด์ยีลด์ปรับตัวลงได้ไม่ยาก
ด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ได้แรงหนุนจากความกังวลแนวโน้มเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นทะลุโซน 107 จุด ได้สำเร็จ (กรอบ 106.4-107.2 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นของทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวลงต่อเนื่อง สู่ระดับ 1,840 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งต่ำกว่ากรอบแนวรับที่เราประเมินไว้ในสัปดาห์นี้ อนึ่ง เรามองว่า การปรับตัวลงของราคาทองคำใกล้โซนแนวรับหลัก จะทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ซึ่งอาจสะท้อนภาวะการจ้างงานในสหรัฐฯ ได้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ประเมินว่า ยอดคำแหน่งงานเปิดรับอาจทรงตัวที่ระดับ 8.83 ล้านตำแหน่ง
ส่วนในฝั่งเอเชีย ตลาดจะรอจับตาผลการประชุมธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า RBA อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.10% หลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด และ ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไป
แนวโน้มของค่าเงินบาท มีโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทกลับไม่ได้ชะลอลงตามที่เราประเมินไว้ก่อนหน้า กดดันโดยโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่อง (ทะลุโซนแนวรับที่เราประเมินไว้) ซึ่งภาพดังกล่าวก็เกิดขึ้นในช่วงที่ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวขึ้น ทำให้ในวันนี้ เงินบาทยังมีความเสี่ยงผันผวนอ่อนค่าต่อได้ หลังจากที่เงินบาทได้อ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านสำคัญ 36.85 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เงินบาทอ่อนค่าต่อทดสอบโซน 37.15-37.25 บาทต่อดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม เราคงมุมมองเดิมว่า จุดอ่อนค่าสุดของเงินบาทที่เป็นไปได้ใหม่ หากอ้างอิงการประเมิน Valuation ของเงินบาทจากดัชนีเงินบาท REER จะอยู่ที่ประมาณ 37.50 บาทต่อดอลลาร์ (ประเมินไว้ เมื่อวันที่ 26 กันยายน)
อย่างไรก็ดี ควรจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์ในช่วงระหว่างวัน เนื่องจากแรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มชะลอลงบ้าง และมีโอกาสที่อาจจะเห็นการทยอยกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทยได้บ้าง หลังดัชนี SET ก็ปรับตัวลงมาใกล้โซนแนวรับสำคัญ ทั้งนี้ ในระยะสั้น เรามองว่า แรงขายบอนด์ระยะยาวของไทยก็อาจยังพอมีอยู่บ้าง จนกว่าบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะพลิกกลับมาย่อตัวลง
ทั้งนี้ ควรระมัดระวัง ความผันผวนของเงินบาทในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในช่วงเวลา 21.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย เพราะหากยอดตำแหน่งงานเปิดรับปรับตัวลดลงต่อเนื่อง หรือ ออกมาแย่กว่าคาด ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อของเฟด หรือ แนวโน้มเฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน
ในทางกลับกัน รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีกว่าคาด จะยิ่งหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้ราคาทองคำปรับตัวลงต่อได้ ส่งผลให้เงินบาทจะยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อไปในช่วงนี้
โดยทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
แบงก์ชาติพร้อมดูแลเงินบาท หากผันผวนหนัก
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท. ได้ติดตามสถานการณ์การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด และอาจพิจารณาเข้าดูแลหากเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนมากผิดปกติเพื่อไม่ให้กระทบต่อการปรับตัวของภาคเศรษฐกิจ และในช่วงที่สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง ภาคเอกชนควรบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการเงิน
ที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนมากขึ้น และอ่อนค่าผ่านระดับ 37.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยปรับอ่อนค่าลงร้อยละ 6.75 จากต้นปี สอดคล้องกับค่าเงินในภูมิภาค โดยการอ่อนค่าในช่วงหลังได้รับผลจากปัจจัยภายนอกเป็นหลักโดยเฉพาะการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ จากความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะคงดอกเบี้ยไว้นานกว่าที่คาด ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีกว่าประเทศอื่นๆ โดยเปรียบเทียบ
นอกจากนี้ ค่าเงินบาทยังมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากราคาทองคำที่ปรับลดลงต่ำสุดในรอบ 7 เดือน และราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบปี ซึ่งตลาดมองว่าอาจกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ประกอบกับนักลงทุนยังรอความชัดเจนของนโยบายการคลังและการระดมทุนของภาครัฐ
ภายหลังจากแบงก์ชาติเผยว่า จะมีการเข้าดูแลค่าเงินบาท หากค่าเงินบาทมีความผันผวนมาก ส่งผลให้ค่าเงินบาทปิดตลาดวันนี้ 37.04 บาท/ดอลลาร์
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยวันนี้ ปรับตัวลดลงจากเงินทุนไหลออก ผลจากค่าเงินดอลลาร์แข็ง และบอนด์ยีลสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น หุ้นไทยร่วง 26 จุด ดัชนีลดลงอยู่ที่ 1,443.28 จุด