ข่าวเศรษฐกิจ

โค้งสุดท้ายการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

5 พ.ย. 67
โค้งสุดท้ายการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ใกล้สิ้นสุดสำหรับการแกว่งตัวของราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ ในกรอบจำกัด ขณะรอผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่กำลังจะเริ่มขึ้นในเช้าวันที่ 5 พฤศจิกายน นี้ หรือตามเวลาประเทศไทย คือ สองทุ่มวันเดียวกัน การนับคะแนนผลการเลือกตั้งน่าจะใช้เวลาประมาณ 3-5 วันทำการ ก่อนประกาศอย่างเป็นทางการว่า ผู้ชนะการเลือกตั้งนั้น คือ ตัวแทนจากพรรคการเมืองใดระหว่าง เดโมแครต และรีพับริกัน ผู้ท้าชิง ซึ่งทั้งสองพรรคได้ใช้กลยุทธ์ในด้านการตลาดต่าง ๆ อย่างเข้มข้นเพื่อหาช่องว่างโอกาสเพื่อกอบโกยคะแนนเสียงก่อนวันเลือกตั้งจริงที่จะเริ่มขึ้น

โค้งสุดท้ายการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

แน่นอนครับ คำถามในใจสำหรับนักลงทุนไทยคงอยากทราบว่า การชนะการเลือกตั้งของสองพรรคจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อการลงทุนในตลาดหุ้น ทองคำ น้ำมันดิบ อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์สหรัฐ และเศรษฐกิจของไทยอย่างไรบ้าง

หากพรรครีพับริกัน คุณโดนัล ทรัมพ์ ชนะการเลือกตั้งนั้น จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงต่อสินทรัพย์อย่างไร

  1. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ น่าจะพุ่งขึ้นจากระดับ 4.20% เนื่องจากพรรครีพับริกันเน้นเรื่องการลดอัตราภาษี กระตุ้นการลงทุนในสหรัฐ นั่นหมายถึงโลกจะเผชิญกับภาวะอัตราดอกเบี้ยยังสูง สภาพคล่องโลกตึงตัวไปอีกระยะหนึ่ง
  2. ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ มีแนวโน้มน่าจะอ่อนค่ากลับไปจากระดับ 33.74 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ไปที่ระดับ 35.50 บาทได้ เพราะผลตอบแทนลงทุน และอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากการกีดกันการค้าสินค้าจีนที่ราคาถูกไปสู่การนำเข้าจากประเทศคู่ค้าอื่น
  3. ตลาดหุ้นสหรัฐจะยินดีหรือปรับขึ้น แต่ทางตรงข้าม ตลาดหุ้นเอเซียไม่น่าสวยหรู เพราะคาดเรื่องการกีดกันการค้าระหว่างสหรัฐ และจีนจะเข้มมากขึ้น จริงปัจจุบันสหรัฐก็กีดกันการค้ากับจีนมากอยู่แล้ว (แต่พูดน้อย) ตลาดหุ้นเวียดนามจะโดดเด่นเพิ่มเพราะในสมัยทรัมพ์ 1 เม็ดเงินลงทุนสู่เวียดนามจากนักลงทุนต่างชาติเพิ่มโดดเด่นเพื่อผลประโยชน์ด้านภาษีสำหรับฐานผลิตเพื่อส่งออก การส่งออกไทยจะกระทบบ้าง และตลาดหุ้นไทยก็คงสะท้อนเชิงลบไม่มาก 
  4. ราคาน้ำมันดิบน่าจะปรับตัวลง เพราะนโยบายรีพับริกันจะสนับสนุนการผลิตและส่งออกน้ำมันดิบ ขณะที่คุณทรัมพ์ ได้หาเสียงเรื่องการหาข้อยุติสงคราม และลดการสนับสนุนการทหารของสหรัฐในหลายภูมิภาคทั่วโลก ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบมีแรงกดดันจากภาวะอุปทานล้นจากเศรษฐกิจโลกชะลอการเติบโตอยู่แล้ว 
  5. ราคาทองคำ มีแนวโน้มอ่อนตัวลง เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าจากคาดการณ์การออกพันธบัตรเพิ่มเติม (แม้ว่าระยะยาวการขาดดุลการค้า และบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่องหลายปีของสหรัฐจะส่งผลลบต่อค่าเงินสหรัฐ) และอัตราดอกเบี้ยจะยังจูงใจ แรงซื้อทองคำจากธนาคารกลางจีนจางหายไปแล้ว
  6. สุดท้าย หากผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีคือ คุณกมาลา แฮร์ริส จากพรรมเดโมแครต ผลกระทบคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากแนวโน้มเดิมมากนัก โดยน่าจะยังสานงานต่อนโยบายจากอดีตประธานาธิบดี ไบเดน

กราฟ ดุลบัญชีเดินสะพัดเทียบกับ GDP ของสหรัฐอเมริการอบ 10 ปีที่ผ่านมา

screenshot2567-11-05at16.

 

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT