พร้อมขยายตลาดจับลูกค้าลักชัวรี ใน กทม.-ภูเก็ต วางโรดแมป 5 ปี พอร์ตรวมทั้งสิ้น 5,000-6,000 ล้านบาท ตั้งเป้าปีนี้กวาดยอดขายรวม 1,400-1,500 ล้านบาท และยอดโอน 900 ล้านบาท โต 20% คาดปี 68 เทรนด์ดอกเบี้ยขาลง หนุนกำลังซื้อบ้านมีแผนนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในอนาคต
บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด ถือเป็นบริษัทอสังหาฯ น้องใหม่ ที่ได้ก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2561) แต่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยตระกูล 'สวาทยานนท์' ที่เป็นหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัท เพลินพัฒน์ เป็นเจ้าของ "อาคารมหาทุน" อาคารสูงย่านเพลินจิต ที่พัฒนาในนามบริษัท มหาทุนพลาซ่า จำกัด และร่วมกับตระกูลศรีเฟื่องฟุ้ง ร่วมทุนกับเครือข่ายหอการค้าไทย-จีน พัฒนา "อาคารไทยซีซี ทาวเวอร์" สำนักงานให้เช่าบนถนนสาทร และยังมีอาคารสำนักงานให้เช่าย่านพระราม 3 เป็นต้น ถือเป็นผู้คว่ำควอดในวงการนี้มาอย่างยาวนาน
โดยนายพงศ์ศักดิ์ สวาทยานนท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า จากประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ทั้งธุรกิจของครอบครัวและร่วมทุนพันธมิตรมาหลายโครงการ เป็นระยะเวลาหลาย 10 ปี และมองว่าที่อยู่ที่อาศัย โดยเฉพาะโครงการแนวราบ ยังเป็นปัจจัย 4 ที่มีศักยภาพในการเติบโต
โดยขณะนี้ได้ร่วมกับนายณัฐพล ปิติเจริญทรัพย์ ก่อตั้ง บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด ขึ้นมา โดยตนถือหุ้น 51% และอีก 49% เป็นการถือหุ้นโดยพันธมิตรอีก 2-3 กลุ่ม โดยการพัฒนาแต่ละโครงการจะตั้งบริษัทในเครือขึ้นมาพัฒนาภายใต้แบรนด์ “Maison Development” (เมซัน ดีเวลลอปเม้นท์) เพื่อที่จะพัฒนาโครงการพัฒนาแนวราบ ระดับราคา 2-5 ล้านบาทเป็นหลัก ในทำเลในกรุงเทพฯ โซนเหนือ-ตะวันออก-ตะวันตก จ.สมุทรปราการ และ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่ 1,400-1,500 ล้านบาท และยอดโอน 900 ล้านบาท เติบโตขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปี 2566 จาก 3 โครงการเดิม และ 7 โครงการที่จะเปิดตัวใหม่ในปี 2567
โดยในปี 2567 นี้ บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 7 โครงการ รวมมูลค่า 3,734 ล้านบาท ในพื้นที่กรุงเทพฯ ศรีราชา (ชลบุรี) และภูเก็ต (ตรงข้ามสนามบินภูเก็ต) โดยปรับแผนรุกตลาดบ้านระดับลักชัวรี ราคาตั้งแต่ 7-20 ล้านบาท ถึงจำนวน 6 โครงการ แบ่งทำตลาดในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 5 โครงการ และภูเก็ต 1 โครงการ
โดยมีที่ดินรองรับทั้งหมดแล้ว ได้แก่
1.ไมซัน ฮิลล์ สุขุมวิท-ศรีราชา บนพื้นที่ 24 ไร่เศษ ทาวน์โฮม ราคา 2.3-3.5 ล้านบาท บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ราคา 3.9-4.2 ล้านบาท รวม 176 ยูนิต มูลค่าโครงการ 558 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายไปแล้ว 30% มูลค่าขาย 150 ล้านบาท
2.มอร์เกน บางขุนเทียน-พระราม 2 บนพื้นที่ 30 ไร่เศษ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ราคา 7.5-14 ล้านบาท จำนวน 103 ยูนิต มูลค่า 1,060 ล้านบาท เปิดพรีเซลในเดือนพฤษภาคมนี้
3.เอ็ม เวนิว พระราม 3-สุขสวัสดิ์ 62 บนพื้นที่ 5 ไร่เศษ ทาวน์โฮม 3 ชั้น ราคา 4.9-6 ล้านบาท จำนวน 42 ยูนิต มูลค่าโครงการ 257 ล้านบาท
4.แกรนด์ มอร์เกน ไพรเวซี่ พรานนก-สาย 1 บนพื้นที่ 6 ไร่เศษ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น พูลวิลล่า ขนาดตั้งแต่ 100-120 ตารางวา ราคา 18-20 ล้านบาท จำนวน 14 ยูนิต มูลค่าโครงการ 270 ล้านบาท
5.แกรนด์ มอร์เกน พรานนก-สาย 2 บนพื้นที่ 28 ไร่เศษ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาด 102-198.9 ตารางวา ราคา 14-16 ล้านบาท จำนวน 64 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท
6.มาร์วิช สาธุประดิษฐ์-พระรามท3 บนพื้นที่ 3 ไร่เศษ ทาวน์โฮม 3 ชั้นครึ่ง ราคา 14-16 ล้านบาท จำนวน 29 ยูนิต มูลค่าโครงการ 420 ล้านบาท
7.เมซัน สกาย วิลล่า ภูเก็ต ระดับซูเปอร์ลักชัวรี หาดไม้ขาว ตรงข้ามสนามบินภูเก็ต บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของพูลวิลล่า 3 ชั้น ขนาด 43.5-69.75 ตารางวา ราคา 20-25 ล้านบาท จำนวน 8 ยูนิต มูลค่าโครงการ 180 ล้านบาท โดยทุกโครงการอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งจะทยอยแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2567-2569
โดยปัจจุบัน บริษัทมีโครงการที่พัฒนาแล้ว และโครงการใหม่รวม 13 โครงการ มูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาพัฒนามาแล้ว 6 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 2,325 ล้านบาท ปิดการขายไปแล้ว 3 โครงการ รวมมูลค่า 1,132 ล้านบาท ส่วนอีก 3 โครงการที่อยู่ระหว่างการเปิดขาย มีมูลค่าประมาณ 1,193 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ทั้งหมดภายในปี 2567 นี้
สำหรับในช่วง 5 ปีนี้ บริษัทยังคงเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบ ระดับราคาตั้งแต่ 3-20 กว่าล้านบาทขึ้นไปเป็นหลัก ในพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน และต่างจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยว โดยเฉพาะภูเก็ต ซึ่งยังมีที่ดินย่านหาดในทอน ประมาณกว่า 10 ไร่ โดยในอีก 5 ปีข้างหน้าจะทำให้บริษัทมีพอร์ตรวมทั้งสิ้นประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท และในอนาคตสนใจที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วย
ทั้งนี้ วิลล่าหรูในภูเก็ตยังเติบโต โดยตลาดหลักจะเป็นชาวรัสเซีย แต่พบข้อมูลคนไทยเข้ามาซื้อพูลวิลล่าระดับราคา 40 ล้านบาท เป็นอีกตลาดที่บริษัทจะเข้าไปพัฒนาสินค้ารองรับ"
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 2567 จะเป็นปีที่ท้าทาย โดยบ้านระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ยังมีความน่าเป็นห่วง เนื่องจากเป็นเซกเมนต์ที่มียอดปฏิเสธสินเชื่อ (Reject) และหนี้เสียที่เพิ่มมากขึ้น เพราะสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ แต่ในส่วนของบริษัทแม้จะพัฒนาบ้านในระดับราคา 2-5 ล้านบาท แต่ด้วยทำเลที่ดินที่ดี ทำให้มียอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดี และหลังโควิดความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบมีเพิ่มมากขึ้น ทำให้มียอดขายที่ดีอย่างต่อเนื่อง