การเงิน

คลังผุดไอเดียตั้ง ‘วายุภักษ์ 3’ ขายปชช 1.5 แสนล้านอัดเงินเข้าตลาดหุ้น

29 มิ.ย. 67
คลังผุดไอเดียตั้ง ‘วายุภักษ์ 3’ ขายปชช  1.5 แสนล้านอัดเงินเข้าตลาดหุ้น

คลังผุดไอเดียตั้งกองทุน ‘วายุภักษ์ 3’ หวังอัดเม็ดเงินเข้าตลาดหุ้นไทยปีนี้กว่า 5.3 แสนล้านบาททโดยอยู่ระหว่างการศึกษาคาดว่าจะเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไป 1.5 แสนล้านบาท อัตราดอกเบี้ยประมาณ 3% รวมกับเงินกองทุนวายุภักษ์เดิม 3.5 แสนล้านบาท คาดว่าจะใช้เวลาศึกษาประมาณ 2 เดือน หรือคาดว่าจะเห็นได้ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ 

ขณะที่มีการปรับเงื่อนไขกองทุน Thai ESG ใหม่ ลดหย่อนภาษีได้ 3 แสนบาท จากเดิม 1 แสนบาท ลดการถือครอง เหลือ 5 ปี จากเดิม 8 ปี เตรียมเสนอเข้าครม.พิจารณาอนุมัติในสัปดาห์หน้า หวังดัน SET Index ขึ้น และเชื่อจะสามารถเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และคาดว่าในปีนี้จะมีเม็ดเงินเข้าตลาดหุ้นไทย ราว 3 หมื่นล้านบาท และหวังกระตุ้นให้คนไทยออมเงิน ซึ่งยอมแลกกับสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีนี้ประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท 

 คลังผุดไอเดียตั้ง ‘วายุภักษ์ 3’ ขายปชช  1.5 แสนล้านอัดเงินเข้าตลาดหุ้น

วันนี้ (24 มิ.ย.) มีแถลงข่าวร่วม 3 หน่วยงาน “มาตรการขับเคลื่อนตลาดทุนไทย” โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ไทย (ก.ล.ต.) และนายภากร ปิตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาที่จะจัดตั้งกองทุน “วายุภักษ์ 3“ ซี่งขอเวลาศึกษาประมาณ 2 เดือน ซึ่งมีกองทุนวายุภักษ์ 1 และวายุภักษ์ 2 อยู่แล้วที่มีเม็ดเงินอยู่แล้ว 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะออกกองทุนใหม่ เพื่อขายให้กับประชาชนทั่วไป 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งอัตราดอกเบี้ย คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3% ถ้าเป็นการอ้างอิงจากเงื่อนไขเดิม เบื้องต้นคาดว่าจะได้เหนในไตรมาส 3/2567

คลังผุดไอเดียตั้ง ‘วายุภักษ์ 3’ ขายปชช  1.5 แสนล้านอัดเงินเข้าตลาดหุ้น

” ขอเวลาศึกษากองทุนวายุภักษ์ ซึ่งเป็นกองใหม่ เนื่องจากมีกองทุนวายุภักษ์ 1-2 อยู่แล้ว ซึ่งจะเป็นกองวายุภักษ์ 3 ซึ่งคาดว่าจะขายประชาชน ในวงเงินประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ส่วน Thai ESG คาดว่าจะนำเสนอครม.อนุมัติได้ในสัปดาห์หน้า ซึ่งเชื่อว่ามาตรการต่างๆ ที่ออกมาจะช่วยเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติได้ดีขึ้น” นายพิชัยกล่าว

คลังผุดไอเดียตั้ง ‘วายุภักษ์ 3’ ขายปชช  1.5 แสนล้านอัดเงินเข้าตลาดหุ้น

เศรษฐกิจไทยเจอความท้าทาย แต่แนวโน้มฟื้นตัวดี 

คลังผุดไอเดียตั้ง ‘วายุภักษ์ 3’ ขายปชช  1.5 แสนล้านอัดเงินเข้าตลาดหุ้น

นาย พิชัย กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจไทยว่า ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นไทยประสบปัญหาเพราะเศรษฐกิจไทยเติบโตและฟื้นตัวได้ไม่มากและรวดเร็วเท่าที่คาด จากความท้าทายหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น ‘ปัจจัยภายใน’ อย่าง สถานการณ์การเมือง ความล่าช้าต่อการเบิกจ่ายงบประมาณ และ ‘ปัจจัยภายนอก’ อาทิ ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันและกำลังซื้อของประเทศคู่ค้า 

นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้เศรษฐกิจไทยยังได้รับผลกระทบรุนแรงจากวิกฤตโควิด ซึ่งส่งผลต่อการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เป็นหัวใจของเศรษฐกิจไทย ส่งผลให้ GDP ติดลบร้อยละ 6.1 (หรือ -6.1%) ในปี 2563 และยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ปลายปี 2566 เป็นต้นมา เศรษฐกิจของไทย เริ่มมีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น  ทำให้คาดการณ์ได้ว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวสูงในปีนี้และต่อเนื่องไปในปีหน้า แม้ว่ายังมีความกดดันจากความขัดแย้งทางการเมืองในต่างประเทศ และความผันผวนของตลาดการเงินจากนโยบายการเงินของประเทศมหาอำนาจ 

โดยเฉพาะจากความคลี่คลายทางการเมืองที่ได้ปลดล็อกการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ การฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่กลับมาใกล้เคียงก่อนวิกฤตโควิด โดยนายพิชัยเผยว่าในปีนี้ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยแล้ว 28 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปถึง 35 ล้านภายในปลายปีนี้ ซึ่งใกล้เคียงกับระดับก่อนโควิดซึ่งอยู่ที่ 39 ล้านคนมากขึ้นจากปีที่ผ่านมา

หุ้นไทยผลประกอบการดีขึ้น แต่มูลค่าต่ำ เป็นจังหวะซื้อ

คลังผุดไอเดียตั้ง ‘วายุภักษ์ 3’ ขายปชช  1.5 แสนล้านอัดเงินเข้าตลาดหุ้น

นาย ภากร กล่าวว่า แม้ดัชนีราคาหุ้นไทย หรือ SET Index จะมีการปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากผลประกอบการที่ลดลงตามเศรษฐกิจ และการที่ทั้งนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนไทยขาดความเชื่อมั่นจนเทขาย ข้อมูลของตลท. ระบุว่าผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ของบริษัทจดทะเบียนไทยเกินครึ่งรายงานกำไรสุทธิสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ 

คลังผุดไอเดียตั้ง ‘วายุภักษ์ 3’ ขายปชช  1.5 แสนล้านอัดเงินเข้าตลาดหุ้น

นอกจากนี้ ยังมีบางอุตสาหกรรมที่ผลประกอบการฟื้นตัวได้ดีขึ้นโดดเด่นกว่าอุตสาหกรรมอื่น นั่นก็คืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่บริษัทจดทะเบียนมีผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2567 เพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า ขณะที่โดยรวมทั้งตลาดหลักทรัพย์ไทย ผลประกอบการไตรมาสที่ 1 เพิ่มขึ้น 1.7% ทำให้ ตลท. จึงมองว่าหุ้นไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่องในปีนี้

นาย ภากร มองว่าระดับราคาของหุ้นไทยที่ปรับลดลง ในขณะที่ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เป็นโอกาสของการเข้าลงทุนในระยะยาวที่รับความเสี่ยงผันผวนในระยะสั้นเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว ตอบโจทย์การสร้างความเพียงพอ และความมั่นคงทางการเงินของผู้ลงทุนได้

ปรับเกณฑ์กองทุน Thai ESG หวังส่งเสริมคนไทยออมเงินและลงทุนเพิ่ม

คลังผุดไอเดียตั้ง ‘วายุภักษ์ 3’ ขายปชช  1.5 แสนล้านอัดเงินเข้าตลาดหุ้น

นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ไทย (ก.ล.ต.) เผยว่า ทั้ง 3 หน่วยงานรัฐมองว่าการปรับตัวของราคาของหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียว อาจไม่ทำให้นักลงทุนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นใหม่ คนที่มีรายได้น้อย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการออมมาลงทุนในหลักทรัพย์ และเพื่อส่งเสริมการลงทุนระยะยาวได้ 

คลังผุดไอเดียตั้ง ‘วายุภักษ์ 3’ ขายปชช  1.5 แสนล้านอัดเงินเข้าตลาดหุ้น

ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้ดำเนินมาตรการส่งเสริมการออมและการลงทุนผ่านการตั้งกองทุนต่างๆ ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสามารถจูงใจให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเกิดการออม สร้างกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (fund flow) เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เพื่อลดผลกระทบระยะสั้น และสร้างการลงทุนระยะยาวในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดทุนให้ลดการพึ่งพิง fund flow จากต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพในตลาดทุน เช่น RMF LTF SSF และ SSFX 

โดยมาตรการส่งเสริมการออมล่าสุดคือ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund: TESG fund) หรือกองทุนที่ลงทุนในหุ้นใน SET หรือ mai รวมไปถึงหุ้นกู้และสินทรัพย์ดิจิทัล หรือดิจิทัลโทเคนต่างๆ ที่ให้ความสำคัญ และมีแนวดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับหลัก ESG

ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้กล่าวมีความน่าดึงดูด และยืดหยุ่นเหมาะกับนักลงทุนรายย่อยมากยิ่งขึ้น กระทรวงการคลังได้มีการปรับเงื่อนไขกองสิทธิประโยชน์ทางภาษีของ TESG รวมถึงเงื่อนไขอื่นๆ ที่มีในปัจจุบัน โดยมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ 

  • เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษี จากเดิมไม่เกิน 100,000 บาท เป็นไม่เกิน 300,000 บาท
  • ลดระยะเวลาถือครองหน่วยลงทุน  จากเดิมต้องถือครอง 8 ปี เหลือเพียง 5 ปี
  • เพิ่มหุ้นหรือสินทรัพย์ที่สามารถนำมาเลือกลงทุนในกองทุนได้จาก บริษัทใน SET หรือ mai ที่โดดเด่นด้าน ESG หรือเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มารวมถึง บริษัทที่ได้รับการประเมิน cg rating ของ IOD และมีการเปิดเผยข้อมูลด้าน ‘บรรษัทภิบาล (G)’ ในระดับและรูปแบบที่ ก.ล.ต. กำหนดด้วย

เกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจะทำให้การถือครอง Thai ESG มีความยืดหยุ่นมากขึ้น นักลงทุน exit ได้เร็วมากยิ่งขึ้นไม่ต้องถือยาวถึง 8 ปี รวมถึงทำให้ผู้จัดการกองทุนมีตัวเลือกในการเลือกสินทรัพย์มาใส่ในกองทุนได้มากขึ้นประมาณ 200 ตัว จากปัจจุบันที่อยู่ที่ประมาณ 128 ตัว มาเป็น 320 กว่าตัว

นอกจากนี้ เกณฑ์สินทรัพย์ ESG ที่กว้างขึ้นจากเรื่องสิ่งแวดล้อมมารวมถึงเรื่องบรรษัทภิบาลด้วยจะผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนออกมายกระดับมาตรฐานการดำเนินงาน และเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการยกระดับคุณภาพและสร้างเสริมศักยภาพในการแข่งขันของบริษัทจดทะเบียนไทยในระยะยาว ในยุคปัจจุบันที่ทั่วโลกให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืนได้

นาย พิชัย เผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอการปรับเปลี่ยนเกณฑ์ดังกล่าวเข้าครม.พิจารณาอนุมัติในสัปดาห์หน้า ขณะที่ นาง พรอนงค์ เผยว่า ก.ล.ต. จะเปิดเผยเกณฑ์การพิจารณาบริษัทที่มีความโดดเด่นด้านบรรษัทภิบาลให้บริษัทจดทะเบียนและประชาชนรับทราบภายในสองสัปดาห์หลังจากมีการยื่นการปรับเปลี่ยนเกณฑ์เข้าครม.

นอกจากนี้ ภาครัฐยังศึกษาความสำเร็จของกองทุนในรูปแบบอื่น อาทิ กองทุนวายุภักษ์มาเสริมสร้างกลไก การออม การลงทุนให้กับประชาชนผ่านรูปแบบการลงทุนร่วมของภาครัฐ ร่วมกับการขับเคลื่อนและผลักดันการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในลักษณะอื่น ๆ เช่น การจัดกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นเทรนด์ในอนาคต และการพัฒนา Exchange-Traded Fund (ETF) รวมทั้งบัญชีส่วนบุคคลเพื่อการลงทุนระยะยาว (Individual Saving Account) ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นต้น

ยกเครื่องมาตรการกำกับดูแลเพิ่มความเชื่อมั่นตลาดทุน

คลังผุดไอเดียตั้ง ‘วายุภักษ์ 3’ ขายปชช  1.5 แสนล้านอัดเงินเข้าตลาดหุ้น

นอกจากการปรับเกณฑ์กองทุนแล้ว ตลท. และ ก.ล.ต. และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) ยังได้ผลักดันมาตรการต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการกำกับดูแลเพื่อรักษาผลประโยชน์ของนักลงทุน และเพิ่มความเชื่อมั่นตลาดทุน รวมถึงแก้ไขปัญหาที่ท้าทายตลาดในปัจจุบัน ทั้งจากธุรกรรมขายชอร์ตและการซื้อขายของโปรแกรมเทรด

โดยการยกระดับมาตรการกำกับดูแลนี้ จะเป็นการยกระดับการกำกับดูแลทั้ง 5 ขั้นตอน ได้แก่

  1. กระบวนการ pre-lisitng และ listing ด้วยการปรับคุณสมบัติบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนทั้งในตลาด SET และ mai ทั้งเงินทุนจดทะเบียน และผลประกอบการ มีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 2568
  2. กระบวนการ Trade Surveillance เช่น การเพิ่มเติมการเตือน Volume Alert ช่วง Auction มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 8 พ.ค. 2566 และการจัดตั้ง Securities Bureau เพื่อให้มีข้อมูลวงเงินซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลูกค้าได้รับจากโบรกเกอร์ต่างๆ มาใช้พิจารณาให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ โดยระบบจะพร้อมใช้ในไตรมาสที่ 3 ปี 2567
  3. กระบวนการ Ongoing Obligations เช่น การเพิ่มการเตือนผู้ลงทุนเกี่ยวกับบริษัทที่ไม่ปฏิบัติตามเกณฑ์ มีพฤติการณ์น่าสงสัย และการยกระดับการดำเนินการกับ บจ. ที่มี free float ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ โดยขึ้นเครื่องหมาย C และ SP แทนการเก็บค่าธรรมเนียม มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. 2567
  4. กระบวนการ Escalation to Public เช่น การยกระดับการเตือนผู้ลงทุนเกี่ยวกับ บจ. ด้วยการเพิ่มเครื่องหมาย C ที่มีรายละเอียดมากขึ้น เช่น ปัญหาด้านฐานะทางการเงิน และผลการดำเนินงาน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. 2567
  5. กระบวนการ Delisting เช่น การเพิ่มเหตุเพิกถอนบริษัทจดทะเบียน เช่น ไม่มีธุรกิจติดต่อกัน 3 ปี รายได้ต่ำกว่า 50 ล้านบาทสำหรับบริษัท mai และ ต่ำกว่า 100 บาท สำหรับบริษัท SET มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 25 มี.ค. 2567

ทั้งนี้ ตลท. ยังมีมาตรการทบทวนหลักทรัพย์ที่ Short Selling ได้ โดยหากเป็นบริษัทที่ไม่ได้อยู่ใน SET 100 จะต้องมีมูลค่าตลาดมากกว่า 7,500 ล้านบาท มี turnover rate เฉลี่ย 12 เดือนที่ 2% การเพิ่ม uptick รายหลักทรัพย์ ให้ขายชอร์ตได้ในราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย เปิดเผยข้อมูลผู้ลงทุนที่ส่งคำสั่งไม่เหมาะสม และลงทะเบียนผู้ใช้ HFT หรือ high frequency trading ในการซื้อขาย โดยเกณฑ์ใหม่ทั้งหมดนี้จะมีผลในวันที่ 1 ก.ค. 2567

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการอื่นๆ เพื่อกำกับดูแลพฤติกรรมการซื้อขายที่ไม่เหมาะสมอีกมากมายที่จะมีผลบังคับใช้ในภายหลังทั้งในครึ่งปี 2567 หลัง และปี 2568 เช่น การกำหนดเวลาขั้นต่ำของ order ก่อนที่จะสามารถยกเลิกได้ การเพิ่ม circuit breaker รายหุ้น การเพิ่มคุณภาพการตรวจสอบบริษัทหลักทรัพย์ การทำ auto halt รายหุ้น เป็นต้น

หลังจากมีการบังคับใช้แล้ว ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะติดตามผลของการดำเนินการและมีการทบทวนมาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และย้ำว่าทั้งสองหน่วยงานจะมีการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เมื่อพบพฤติกรรมการกระทำผิดในลักษณะที่เข้าข่ายการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ (Market Misconduct) รวมทั้งการกำหนดปรับปรุงค่าปรับจากการกระทำผิดที่สูงขึ้นและการปรับแก้กฎหมายให้เข้มข้นขึ้น เพื่อป้องปรามการกระทำที่ไม่เหมาะสม


มุ่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล รองรับโทเคน เพิ่มความหลากหลายสินทรัพย์

คลังผุดไอเดียตั้ง ‘วายุภักษ์ 3’ ขายปชช  1.5 แสนล้านอัดเงินเข้าตลาดหุ้น

นอกเหนือจากการขับเคลื่อนในมิติการลงทุนระยะยาว และการกำกับที่เข้มข้นมากขึ้น ตลท. และ ก.ล.ต. ยังมีการขับเคลื่อนให้มีการพัฒนาตลาดทุนไทยให้เป็นกลไกสำคัญสอดคล้องกับสังคมดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว เช่น

  • โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุนในทุกขั้นตอนทั้งระบบให้เป็นดิจิทัล ด้วยการพัฒนาระบบ Digital Infrastructure (DIF) ที่จะเชื่อมโยง แลกเปลี่ยนข้อมูลและให้บริการผู้ที่เกี่ยวข้อง รองรับกระบวนการดิจิทัลแบบ End-to-End ทั้งในตลาดแรกและตลาดรอง โดยเริ่มจาก web portal สำหรับยื่น filing ตราสารหนี้
  • การผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมาย digital/ tokenized securities แบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรองรับการออกหลักทรัพย์ (เช่น หุ้นกู้ หุ้น หน่วยลงทุน)
  • การสนับสนุนการระดมทุนจากสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ด้วยการปรับเกณฑ์ ICO ให้รองรับ product รูปแบบที่หลากหลาย/ ตอบโจทย์ธุรกิจขณะที่มีกลไกคุ้มครองผู้ลงทุนเพียงพอเหมาะสม และการสนับสนุนระบบนิเวศ (ecosystem)ของ investment token ด้วยการปรับเกณฑ์เพื่อสนับสนุนการเสนอขาย Investment Token ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
  • การส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในตลาดที่มีการกำกับดูแลเพื่อคุ้มครองนักลงทุนและสร้างความโปร่งใสที่เชื่อถือได้ให้เกิดขึ้น และการสนับสนุนให้มีการใช้ Investment token ระดมทุนเพื่อพัฒนา green project โดยปรับปรุงเกณฑ์การเสนอขายโทเคนดิจิทัล, ยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขออนุญาต, การยื่น filing สำหรับ green token และรองรับให้ TESG fund ลงทุนในผลิตภัณฑ์ด้านความยั่งยืนได้

advertisement

SPOTLIGHT