สังคมญี่ปุ่น ขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมการทำงานหนัก ทุ่มเท และมุ่งมั่น ซึ่งแม้จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่นำพาประเทศสู่ความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นดาบสองคมที่บั่นทอนสุขภาพกายและใจของแรงงาน นำไปสู่ปัญหา "คาโรชิ" หรือการเสียชีวิตจากการทำงานหนัก ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนในญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อย
ล่าสุด กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นได้เผยแพร่รายงานสถานการณ์การป้องกัน 'คาโรชิ' ประจำปี 2567 ซึ่งได้เปิดเผยข้อมูลอันน่าตกใจเกี่ยวกับสภาวะการทำงานเกินกำลัง ความเครียด และปัญหาสุขภาพจิต ที่กำลังแพร่ระบาดในอุตสาหกรรมบันเทิงและสาธารณสุข รายงานฉบับนี้ จึงเป็นเสมือนสัญญาณเตือนภัย ที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในสังคมญี่ปุ่น และกระตุ้นให้เกิดการตั้งคำถามถึง "ต้นทุน" ของความสำเร็จ ที่ต้องแลกมาด้วยสุขภาพ และชีวิต ของแรงงาน
รายงานสถานการณ์การป้องกัน 'คาโรชิ' หรือการเสียชีวิตจากการทำงานหนัก ประจำปี 2567 ของกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่น ได้เผยให้เห็นถึงสภาวะการทำงานเกินกำลังและความเครียดที่แพร่หลายในอุตสาหกรรมบันเทิงและสาธารณสุข จากผลการสำรวจระหว่างเดือนตุลาคมถึงธันวาคม 2566 พบว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคและผู้กำกับเวทีมากกว่าร้อยละ 40 ทำงานมากกว่า 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ขณะที่ร้อยละ 60 ของผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างมีวันหยุดพักผ่อนเพียงวันเดียวหรือน้อยกว่านั้นต่อสัปดาห์
นอกจากนี้ รายงานยังระบุถึงปัญหาการล่วงละเมิดในที่ทำงานและปัญหาข้อพิพาททางธุรกิจ โดยร้อยละ 42 ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่า "ได้รับการปฏิบัติด้วยวาจาที่ไม่เหมาะสมจากบุคคลในที่ทำงาน" และร้อยละ 22.3 "มีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับการถูกทำร้ายร่างกาย" ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาด้านค่าตอบแทนยังคงเป็นประเด็นสำคัญ โดยกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจเคยประสบปัญหา อาทิ "ไม่ได้รับแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับค่าตอบแทนก่อนการรับงาน"
รายงาน 'คาโรชิ' ฉบับที่ 9 ประจำปี 2567 ซึ่งจัดทำขึ้นตามพระราชบัญญัติป้องกันการเสียชีวิตจากการทำงานหนัก พ.ศ. 2557 ได้นำเสนอผลการสำรวจเชิงประจักษ์เกี่ยวกับภาวะสุขภาพจิตของบุคลากรทางการแพทย์ โดยศึกษาข้อมูลกรณีปัญหาสุขภาพจิตของแพทย์และพยาบาลที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นอุบัติเหตุจากการทำงาน และมีสิทธิได้รับค่าชดเชย ระหว่างปี 2553 ถึง 2563
ผลการสำรวจบ่งชี้ว่า ปัญหาสุขภาพจิตเป็นภาวะที่พบได้บ่อยครั้งในกลุ่มแพทย์และพยาบาลวัย 30 ปี โดยจำนวนกรณีปัญหาสุขภาพจิตในกลุ่มพยาบาลมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเวลาที่ผ่านมา สำหรับปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อภาวะสุขภาพจิตของแพทย์ คือ ภาระงานที่มากเกินขีดความสามารถ ขณะที่พยาบาลมักได้รับผลกระทบทางจิตใจจากการเผชิญเหตุการณ์วิกฤต อาทิ อุบัติเหตุร้ายแรง หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ
รายงานฉบับนี้ได้เผยแพร่ผลการวิเคราะห์เชิงลึกในภาคอุตสาหกรรมสำคัญ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของนโยบายด้านการป้องกัน 'คาโรชิ' ในปีนี้ โดยการวิเคราะห์มุ่งเน้นไปที่ประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตจากการทำงานหนัก ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจวาย และการฆ่าตัวตาย อันมีต้นตอมาจากความเครียดสะสมจากการทำงาน
กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกัน 'คาโรชิ' และมุ่งมั่นที่จะลดชั่วโมงการทำงานของประชาชน โดยสนับสนุนให้ภาคธุรกิจนำระบบการพักงาน (work-interval system) ซึ่งเป็นระบบที่กำหนดให้มีช่วงเวลาระหว่างวันทำงาน เพื่อให้พนักงานได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ มาปรับใช้ อย่างไรก็ตาม รายงานฉบับนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทาย กล่าวคือ แม้สัดส่วนขององค์กรธุรกิจที่นำระบบการพักงานมาใช้จะเพิ่มสูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน จำนวนบริษัทที่ยังไม่ตระหนักถึงระบบดังกล่าวก็มีอัตราเพิ่มขึ้นเช่นกัน
รายงาน 'คาโรชิ' ฉบับปัจจุบันนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในสังคมญี่ปุ่น อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากวัฒนธรรมการทำงานที่มุ่งเน้นผลผลิต ความเครียดเรื้อรัง และสภาพแวดล้อมการแข่งขันที่รุนแรง แม้ว่าภาครัฐจะได้ริเริ่มนโยบายและมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกัน 'คาโรชิ' อาทิ การส่งเสริมระบบการพักงาน แต่ทว่า ความท้าทายในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวยังคงปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด
ทั้งนี้ ปัญหา 'คาโรชิ' มิได้ส่งผลกระทบเพียงต่อสุขภาพกายและจิตของแรงงาน หากแต่ยังก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม การสูญเสียกำลังคนที่มีศักยภาพ ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และผลกระทบทางอ้อมต่อสถาบันครอบครัว ล้วนเป็นภาระทางสังคมที่ไม่อาจมองข้าม
การแก้ไขปัญหา 'คาโรชิ' อย่างยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมืออย่างบูรณาการจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยมุ่งเน้นการสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่สมดุล ส่งเสริมสุขภาวะทั้งทางร่างกายและจิตใจของแรงงาน และพัฒนาระบบสนับสนุนที่ครอบคลุม เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถดำรงชีวิตและประกอบอาชีพได้อย่างมีความสุข ปราศจากความเสี่ยงจาก 'คาโรชิ'
ปัจจุบัน สังคมญี่ปุ่นกำลังก้าวเข้าสู่ยุคสมัยแห่งความท้าทาย การร่วมมือกันแก้ไขปัญหา 'คาโรชิ' อย่างจริงจัง จึงเป็นภารกิจเร่งด่วน เพื่อสร้างสรรค์สังคมที่ประชาชนทุกคนสามารถดำรงชีวิตและทำงานได้อย่างมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีสุขภาวะที่สมบูรณ์
แม้รายงานสถานการณ์การป้องกัน 'คาโรชิ' จะสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะการณ์อันน่าเป็นกังวล ทว่า ในอีกมิติหนึ่ง รายงานฉบับนี้ได้จุดประกายความหวัง และเป็นเสมือนกระแสธารที่ปลุกกระตุ้นให้สังคมตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการสร้างดุลยภาพระหว่างภาระหน้าที่และการดำรงชีวิตส่วนตน การประสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาคเอกชน หรือภาคประชาสังคม ล้วนเป็นพลังขับเคลื่อนอันเข้มแข็ง ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในวัฒนธรรมการทำงาน และร่วมกันสร้างสรรค์สังคมอันเอื้อต่อการมีสุขภาวะที่ดีของประชาชนอย่างยั่งยืน
ท้ายที่สุด เป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาประเทศมิได้จำกัดอยู่เพียงการเติบโตทางเศรษฐกิจ หากแต่ยังครอบคลุมถึงการสร้างสังคมที่ประชาชนทุกคนสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณค่า มีความหมาย และเปี่ยมด้วยความสุข การแก้ไขปัญหา 'คาโรชิ' จึงมิใช่เพียงการพิทักษ์รักษาชีวิต แต่ยังเป็นการธำรงไว้ซึ่งคุณค่าความเป็นมนุษย์ และร่วมกัน kiến tạo อนาคตที่ยั่งยืนสำหรับประเทศญี่ปุ่น
ที่มา japantimes