หลายคนอาจคิดว่าประเทศไทยก้าวหน้าไปไกลแล้ว แต่ความจริง "ความเหลื่อมล้ำ" ยังคงเป็นเงาตามตัว โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล ที่ประชากรจำนวนมากยังคงดิ้นรนกับความยากจน ขาดโอกาส ขาดการศึกษา จนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่แก้ไขได้ยาก วันนี้เราจะพาไปสำรวจ 10 จังหวัดของไทย ที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุด พร้อมเจาะลึกสาเหตุ และแนวทางแก้ไข เพื่อร่วมกันหาทางออก และสร้างสังคมที่เท่าเทียมกันอย่างแท้จริง
10 จังหวัดที่คนจนเยอะสุดในไทย กับเงาแห่งความเหลื่อมล้ำที่ยังคงอยู่
แม้ประเทศไทยจะก้าวหน้าไปมาก แต่ภาพความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจก็ยังคงเป็นปัญหาที่ฝังรากลึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางพื้นที่ ที่ประชากรยังคงต้อง struggling กับความยากจน ขาดโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรและบริการขั้นพื้นฐาน จากข้อมูลล่าสุดของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เผยให้เห็น 10 จังหวัดที่มีสัดส่วนประชากรยากจนสูงสุด สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ของสังคมไทย
10 อันดับจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุด
อันดับ | จังหวัด | สัดส่วน (%) |
1 | ปัตตานี | 23.36 |
2 | นราธิวาส | 19.12 |
3 | แม่ฮ่องสอน | 12.49 |
4 | พัทลุง | 12.06 |
5 | สตูล | 10.8 |
6 | หนองบัวลำภู | 9.61 |
7 | ตาก | 9.6 |
8 | ประจวบคีรีขันธ์ | 9.49 |
9 | ยะลา | 9.01 |
10 | ตรัง | 8.7 |
- ปัตตานี ครองอันดับหนึ่งอย่างน่าเป็นห่วง ด้วยสัดส่วนคนจนสูงถึง 23.36%
- นราธิวาส ตามมาติดๆ ด้วยสัดส่วนคนจน 19.12%
- แม่ฮ่องสอน แม้จะมีธรรมชาติงดงาม แต่กลับมีสัดส่วนคนจน 12.49%
- พัทลุง เมืองแห่ง "หนังตะลุง" มีสัดส่วนคนจน 12.06%
- สตูล ดินแดนใต้สุดแดนสยาม มีสัดส่วนคนจน 10.80%
- หนองบัวลำภู แม้จะเป็นเมืองแห่งพญาช้างเผือก แต่ก็มีสัดส่วนคนจน 9.61%
- ตาก ประตูสู่เมียนมาร์ มีสัดส่วนคนจน 9.60%
- ประจวบคีรีขันธ์ เมืองชายทะเลที่สวยงาม แต่มีสัดส่วนคนจน 9.49%
- ยะลา เมืองใต้สุดที่มีสัดส่วนคนจน 9.01%
- ตรัง เมืองแห่ง "หมูย่าง" มีสัดส่วนคนจน 8.70%
ที่น่าตกใจคือ ปัตตานีและแม่ฮ่องสอน ติดอยู่ใน 5 อันดับแรกของจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 15 ปี บ่งชี้ถึงปัญหาความยากจนเรื้อรัง ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และโอกาสในการพัฒนาของประชากรในพื้นที่ ยิ่งไปกว่านั้น จังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างปัตตานี นราธิวาส และยะลา รวมถึงแม่ฮ่องสอนและตาก ยังคงวนเวียนอยู่ใน 10 อันดับแรกของจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุด สะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากในการแก้ไขปัญหาความยากจนในพื้นที่เหล่านี้
สถานการณ์ความยากจนในไทยดีขึ้น ? แต่ยังต้องจับตา "ความเปราะบาง" ใกล้เส้นแบ่ง
ข่าวดีสำหรับสังคมไทย! รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศฉบับล่าสุดประจำปี 2566 โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เผยให้เห็นสัญญาณเชิงบวก โดยระบุว่าสถานการณ์ความยากจนของประเทศไทยมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในปี 2566 ประเทศไทยมีคนจนทั้งสิ้นประมาณ 2.39 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนเพียง 3.41% ของประชากรทั้งหมด ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากปี 2565 ที่มีสัดส่วนคนจนอยู่ที่ 5.43% ขณะที่เส้นความยากจนขยับขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 3,043 บาทต่อคนต่อเดือน สอดคล้องกับภาวะเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ความยากจนของไทยดีขึ้น คาดว่าเป็นผลมาจากการขยายตัวของภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีสัดส่วนแรงงานยากจนสูงที่สุด ประกอบกับโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2565 ที่ช่วยให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เคยตกหล่น สามารถเข้าถึงสวัสดิการและบริการต่างๆ ของภาครัฐได้มากขึ้น
เมื่อพิจารณาในระดับครัวเรือน พบว่าในปี 2566 ประเทศไทยมีครัวเรือนยากจนประมาณ 6.86 แสนครัวเรือน คิดเป็น 2.56% ของครัวเรือนทั้งหมด ลดลงจากปี 2565 ที่มีครัวเรือนยากจนประมาณ 1.12 ล้านครัวเรือน โดยครัวเรือนในพื้นที่นอกเขตเทศบาลยังคงมีสัดส่วนความยากจนสูงกว่าครัวเรือนในเขตเทศบาลถึง 2.01 เท่า
แม้ภาพรวมจะดูสดใส แต่ สศช. ก็เตือนให้สังคมไทยตระหนักถึง "ความเปราะบาง" ของกลุ่มคนใกล้เส้นความยากจน ซึ่งหมายถึงกลุ่มคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจไม่มั่นคง มีรายได้มากกว่าหรือน้อยกว่าเส้นความยากจนเพียงเล็กน้อย กลุ่มคนเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงที่จะตกกลับไปสู่ความยากจนได้ง่าย หากต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
การแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน จึงต้องให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือ และเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับกลุ่มคนใกล้เส้นความยากจน เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขา ต้องกลับไปเผชิญกับวงจรความยากจนซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเพื่อให้ทุกคนมีโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิต และหลุดพ้นจากกับดักความยากจนได้อย่างแท้จริง
ช่องว่างเมือง-ชนบท เศรษฐกิจกระจุกตัว ความยากจนกระจาย
ในประเทศไทย การพัฒนาทางเศรษฐกิจมักกระจุกตัวอยู่ในเขตเมือง ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่าง คนเมือง กับ คนชนบท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของโอกาส และความเป็นอยู่ โดยข้อมูลจาก สศช. เผยให้เห็นภาพชัดเจนว่า ประชากรนอกเขตเทศบาลต้องเผชิญกับความยากจนมากกว่าคนในเมือง โดยในปี 2566 สัดส่วนคนจนนอกเขตเทศบาลอยู่ที่ 4.61% ลดลงจากปี 2565 ที่ 7.07% ขณะที่สัดส่วนคนจนในเขตเทศบาลอยู่ที่ 2.55% ลดลงจาก 4.19% แม้ตัวเลขคนจนจะลดลงทั้งในเมืองและชนบท แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าคนชนบทยังคงมีความเสี่ยงที่จะยากจนมากกว่า
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่มักกระจุกตัวอยู่ในเขตเมือง ทำให้คนชนบทมีโอกาสเข้าถึงแหล่งงาน การศึกษา การลงทุน และบริการต่างๆ น้อยกว่า ส่งผลโดยตรงต่อรายได้ และคุณภาพชีวิต
นอกจากนี้ สาธารณูปโภคพื้นฐานต่างๆ เช่น ระบบขนส่งสาธารณะ อินเทอร์เน็ต และน้ำประปา ในเขตเทศบาลก็มักจะมีประสิทธิภาพ และครอบคลุมพื้นที่มากกว่า ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลต่อความสะดวกสบาย และคุณภาพชีวิตของคนเมือง รวมถึงโอกาสในการพัฒนาตนเอง ที่คนเมืองมักจะเข้าถึงได้มากกว่า
เมื่อพิจารณาถึงกลุ่มคนที่มีความเปราะบางทางเศรษฐกิจ หรือกลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการกลายเป็นคนจน พบว่าส่วนใหญ่ประกอบอาชีพอิสระ หรือทำงานในภาคเกษตรกรรม โดย 21.12% ประกอบธุรกิจส่วนตัว และ 18.06% เป็นลูกจ้างในภาคเอกชน
ลักษณะของกลุ่มคนเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมไทย ที่เป็นต้นตอของความยากจน เช่น การขาดโอกาสทางการศึกษา การมีภาระต้องเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวที่อยู่ในวัยพึ่งพิง และการทำงานในภาคเกษตรกรรม ซึ่งรายได้ไม่แน่นอน และมีความเสี่ยงสูงจากภัยธรรมชาติ และความผันผวนของราคาพืชผล
การแก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน จึงไม่ใช่แค่การแจกเงิน หรือเพิ่มสวัสดิการ แต่ต้องมุ่งเน้นไปที่การกระจายโอกาส การพัฒนา และการเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อลดช่องว่างระหว่างเมืองและชนบท และสร้างความเป็นธรรมให้กับทุกคนในสังคมอย่างแท้จริง
เส้นทางสู่สังคมไทยไร้ความเหลื่อมล้ำ ภารกิจที่ต้องร่วมมือกัน
แม้รายงานฉบับล่าสุดจะบ่งชี้ถึงแนวโน้มเชิงบวกของสถานการณ์ความยากจนในประเทศไทย แต่จำนวนประชากรที่ยังคงตกอยู่ในภาวะยากจน ประกอบกับช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างเขตเมืองกับชนบท ยังคงเป็นประเด็นท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง
การขจัดความยากจนอย่างยั่งยืน มิใช่เพียงการมุ่งเน้นนโยบายการสงเคราะห์หรือการเพิ่มสวัสดิการ หากแต่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการพัฒนา และเสริมสร้างระบบนิเวศ ที่เอื้อต่อการกระจายโอกาส และการเข้าถึงทรัพยากรอย่างเท่าเทียมกัน
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการแก้ไขปัญหา
การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก
- ในส่วนของภาคเกษตรกรรม รัฐควรส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เช่น พัฒนาแหล่งน้ำ ระบบชลประทาน ส่งเสริมการใช้พันธุ์พืชทนแล้ง ปุ๋ยอินทรีย์ รวมถึงนำเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น IoT, AI, Big Data มาใช้ในการบริหารจัดการฟาร์ม และส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน เพื่อลดต้นทุน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ควรส่งเสริมการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร สร้างแบรนด์สินค้าเกษตร พัฒนาบรรจุภัณฑ์ และช่องทางการตลาด เช่น ตลาดออนไลน์ เพื่อเพิ่มมูลค่า และรายได้ให้แก่เกษตรกร และควรส่งเสริมการรวมกลุ่มเกษตรกร เช่น สหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และพัฒนาองค์ความรู้ และทักษะ ของเกษตรกร
- สำหรับการส่งเสริมธุรกิจชุมชน รัฐควรสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการ ที่สอดคล้องกับศักยภาพ และอัตลักษณ์ของชุมชน พัฒนาคุณภาพ และมาตรฐาน ของสินค้า และบริการ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในการพัฒนา และผลิต สินค้า และบริการ รวมถึงสร้างช่องทางการตลาด เช่น ตลาดออนไลน์ การท่องเที่ยวชุมชน ส่งเสริมการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า และพัฒนาการตลาด และการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างรายได้ และสร้างงานในชุมชน นอกจากนี้ ควรพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต ระบบโลจิสติกส์ และสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ศูนย์บริการธุรกิจ Co-working space เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ
การลงทุนในทุนมนุษย์
- ด้านการศึกษา รัฐควรพัฒนาคุณภาพการศึกษาในทุกระดับ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล สนับสนุนการเข้าถึงการศึกษา สำหรับเด็ก และเยาวชน ที่ด้อยโอกาส พัฒนาหลักสูตร และวิธีการสอน ให้เหมาะสม ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ส่งเสริมการเรียนรู้ และพัฒนาทักษะ ด้านเทคโนโลยี STEM ภาษาต่างประเทศ และสนับสนุนการศึกษา และพัฒนา ในสาขาที่สำคัญ
- ส่วนการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน รัฐควรจัดฝึกอบรม และพัฒนาทักษะ ให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ส่งเสริมการเรียนรู้ และพัฒนาทักษะ ด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรม พัฒนาระบบ และมาตรฐาน การรับรอง และประเมิน ทักษะฝีมือแรงงาน สร้างแรงจูงใจ ในการพัฒนาทักษะฝีมือ สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และโอกาส ในการประกอบอาชีพ และส่งเสริมการรวมกลุ่ม และสร้างเครือข่าย ของผู้ประกอบอาชีพอิสระ
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
- รัฐควรพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ ให้ครอบคลุม มีประสิทธิภาพ และเชื่อมโยง ทั้งในเมือง และชนบท สร้าง และปรับปรุง ถนน ทางรถไฟ ระบบราง ท่าเรือ สนามบิน ส่งเสริมการขนส่ง ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นำเทคโนโลยี และนวัตกรรม มาใช้ ในการบริหารจัดการ และพัฒนาระบบขนส่ง และส่งเสริมการลงทุน ในโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคมขนส่ง
- ในส่วนของเทคโนโลยีสารสนเทศ รัฐควรขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ส่งเสริมการเข้าถึง และการใช้ประโยชน์ จากเทคโนโลยีดิจิทัล พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และแพลตฟอร์ม ที่จำเป็น ส่งเสริมการพัฒนาทักษะ ด้านดิจิทัล สำหรับประชาชน และสร้างความตระหนักรู้ เกี่ยวกับความปลอดภัย และการใช้งาน เทคโนโลยีดิจิทัล
การส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม
- รัฐควรพัฒนาระบบประกันสังคม ให้ครอบคลุม และทั่วถึง จัดสวัสดิการ และบริการ ที่จำเป็น ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ สร้างความเท่าเทียม ในการเข้าถึงบริการสาธารณะ อำนวยความสะดวก ในการเข้าถึงบริการ สำหรับผู้ด้อยโอกาส และส่งเสริม และสนับสนุน ให้ชุมชนมีส่วนร่วม ในการวางแผน และตัดสินใจ เกี่ยวกับการพัฒนา
การเสริมสร้างศักยภาพของชุมชน
- รัฐควรส่งเสริม และสนับสนุน ให้ชุมชนมีส่วนร่วม ในการวางแผน และตัดสินใจ เกี่ยวกับการพัฒนา และแก้ไขปัญหาในชุมชน สร้างกลไก และช่องทาง ในการรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะ ของชุมชน พัฒนาศักยภาพ และทักษะ ของผู้นำชุมชน ในการบริหารจัดการ และแก้ไขปัญหา และสนับสนุนการรวมกลุ่ม ของชุมชน เพื่อสร้างความเข้มแข็ง และพึ่งพาตนเองได้
- การแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ เป็นภารกิจสำคัญที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยมีรัฐบาลเป็นผู้นำในการกำหนดนโยบาย และมาตรการ ที่เหมาะสม ครอบคลุม และบูรณาการ เพื่อสร้างโอกาส และความเป็นธรรม ให้กับประชาชนทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ด้อยโอกาส และผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้คนไทยทุกคน มีคุณภาพชีวิตที่ดี และสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
การแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ถือเป็นวาระแห่งชาติ ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชน เพื่อบรรลุเป้าหมายในการสร้างสังคมที่ทุกคนมีโอกาส และได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม และเป็นธรรม