‘Google’ เครื่องมือค้นหาที่ครองตำแหน่งผู้นำในตลาดโฆษณาค้นหามาอย่างยาวนาน กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ หลังจากผลวิจัยจาก eMarketer คาดการณ์ว่า ส่วนแบ่งการตลาดของ Google ในสหรัฐฯ อาจลดลงต่ำกว่า 50% ในปีหน้า
ขาลง Google Search? เมื่อ Gen Z หาข้อมูลจาก TikTok ส่วนนักโฆษณาทุ่มงบกับ Amazon.com แทน
นี่จะเป็นครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษที่ Google ต้องเผชิญกับการสูญเสียความเป็นผู้นำในตลาดหลักสำคัญนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการค้นหาของผู้ใช้งาน โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z ที่เริ่มเบื่อหน่ายกับ Google และหันไปใช้แพลตฟอร์มอื่นแทน
ในอดีต Google เคยเป็นตัวเลือกแรกในการค้นหาข้อมูลและการโฆษณาบนเครือข่ายการค้นหา แต่ปัจจุบัน พฤติกรรมการใช้งานของคนรุ่นใหม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะการเลือกใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและเครื่องมือ AI เพื่อการค้นหาข้อมูลที่รวดเร็วและตรงประเด็นยิ่งขึ้น
เมื่อเร็วๆ นี้ รายงานจาก Adobe พบว่า 64% ของคนรุ่น Gen Z และ 49% ของ Millennials หันไปใช้ TikTok ในการค้นหาข้อมูลแทนการใช้ Google ซึ่งเป็นตัวเลขที่ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่ Google ต้องเผชิญกับการสูญเสียฐานผู้ใช้งานในอนาคต
Gen Z ถึงหันมาใช้ TikTok และ Instagram แทน
การใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อค้นหาข้อมูล กำลังเป็นเทรนด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในหมู่คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z ที่มองว่า TikTok และ Instagram เป็นเครื่องมือที่ใช้ง่ายกว่าและมีเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการมากกว่า Google
ข้อมูลจาก GWI Core ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2016 ประมาณ 40% ของกลุ่ม Gen Z ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์ สินค้า และบริการ จนถึงปี 2023 ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเกือบ 52% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นที่มีนัยสำคัญ
หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้แพลตฟอร์มอย่าง TikTok กลายเป็นเครื่องมือค้นหาสำหรับ Gen Z คือ รูปแบบการนำเสนอข้อมูลที่เป็นวิดีโอสั้นๆ ซึ่งสามารถให้คำตอบที่ชัดเจนและรวดเร็ว การดูรีวิวหรือข้อมูลจากผู้ใช้จริงในลักษณะวิดีโอ ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและให้ประสบการณ์ที่เข้าใจง่าย
ในขณะที่ผลการค้นหาจาก Google มักเต็มไปด้วยลิงก์ที่ต้องคลิกไปอ่านหรือค้นคว้าต่อ ทำให้ไม่ทันต่อพฤติกรรมการใช้ข้อมูลของคนรุ่นใหม่ที่เน้นความรวดเร็ว
นอกจากนี้ คนรุ่น Gen Z ยังเริ่มใช้เครื่องมือ AI อย่าง ChatGPT ในการค้นหาข้อมูลมากขึ้น โดย 1 ใน 10 ของผู้ใช้ ChatGPT เป็นกลุ่ม Gen Z ข้อมูลจาก Fast Company ยังชี้ให้เห็นว่า 1 ใน 20 ของผู้ใช้งานขอคำแนะนำทางการเงินจาก ChatGPT ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในการค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ที่ไม่ได้พึ่งพา Google อย่างที่เคยเป็นมา
ส่วนแบ่งในตลาดโฆษณาค้นหาของสหรัฐฯ ที่หายไป
ในการประกาศผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 3/2024 ของ Alphabet รายได้บริการของ Google เพิ่มขึ้น 13% เป็น 76,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบ 2.60 ล้านล้านบาท จากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา จากความแข็งแกร่งของ Google Search และอื่นๆ, การสมัครรับข้อมูลของ Google, แพลตฟอร์มและอุปกรณ์, และโฆษณาบน YouTube
อย่างไรก็ตาม Google กำลังเผชิญกับความท้าทายจากคู่แข่งในตลาดโฆษณาค้นหาอย่าง Amazon.com ที่มีส่วนแบ่งการใช้จ่ายในโฆษณาเพิ่มขึ้น และได้รับความนิยมมากขึ้นในการค้นหาผลิตภัณฑ์และสินค้า โดยคาดการณ์ว่า Amazon.com จะมีส่วนแบ่ง 22.3% ของตลาดโฆษณาค้นหาภายในปีนี้ ซึ่งเติบโตจากปีที่แล้วถึง 17.6%
ที่สำคัญ ผลการศึกษาของ eMarketer ยังเผยว่า ส่วนแบ่งของ Google ในตลาดโฆษณาค้นหามูลค่า 88,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบ 3.02 ล้านล้านบาท กำลังลดลงต่อเนื่อง และคาดว่าจะลดลงต่ำกว่า 50% ในปี 2024 ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบทศวรรษ
ความท้าทายนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการค้นหาของผู้บริโภค และการแข่งขันที่เข้มข้นจากแพลตฟอร์มอื่นๆ โดยเฉพาะ TikTok, Instagram และ Amazon ที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งในตลาด
นอกจากนี้ การเปิดตัวเครื่องมือค้นหา AI อย่าง ChatGPT และ Perplexity AI ที่ตอบคำถามผู้ใช้ได้ในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและรวดเร็ว ยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ Google ต้องเผชิญกับการสูญเสียผู้ใช้งาน กลุ่มผู้ใช้งาน AI เหล่านี้เริ่มค้นหาข้อมูลในรูปแบบใหม่ ซึ่งไม่ใช่การค้นหาแบบเดิมที่ Google เคยครองตลาดมาก่อน
ปัญหาทางกฎหมายยิ่งกดดัน Google
Google ยังต้องเผชิญกับปัญหาทางกฎหมายที่ซ้ำเติมสถานการณ์ เมื่อศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ตัดสินว่า Google ได้ผูกขาดตลาดการค้นหา ด้วยการจ่ายเงินมหาศาลถึง 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 883,000 ล้านบาท เพื่อให้ Google Search เป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้นบนสมาร์ทโฟนและเว็บเบราว์เซอร์
ทำให้คู่แข่งรายอื่นไม่สามารถเข้ามาแข่งขันได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากการผูกขาดนี้ถูกมองว่า เป็นการกีดกันการแข่งขันและเป็นผลเสียต่อตลาดโดยรวม
ผลกระทบจากการผูกขาดนี้ ยังทำให้ผู้ลงโฆษณาเริ่มมองหาแพลตฟอร์มโฆษณาอื่นๆ ที่มีความหลากหลายมากกว่า Google รวมถึงผลการค้นหาของ Google ที่หลายคนมองว่าเต็มไปด้วยโฆษณาและเนื้อหาที่ปรับแต่งตาม SEO มากเกินไป จนทำให้ข้อมูลที่ต้องการไม่ถูกนำเสนอในลำดับต้นๆ ของการค้นหา
การตอบสนองของ Google และความพยายามในการปรับตัว
แม้ว่า Google กำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งจากพฤติกรรมผู้ใช้งานและการแข่งขันจากแพลตฟอร์มใหม่ แต่ทางบริษัทก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย Google พยายามตอบสนองต่อเทรนด์การใช้งานของผู้ใช้งานยุคใหม่
ด้วยการพัฒนาฟีเจอร์การค้นหาที่เน้นการใช้งานรูปภาพและวิดีโอมากขึ้น รวมถึงการลงทุนในเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาข้อมูลผ่านประสบการณ์เสมือนจริง
นอกจากนี้ Google ยังมีการพัฒนาระบบ AI อย่าง Gemini ซึ่งเป็นระบบที่สามารถตอบคำถามและค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภาพถ่ายของผู้ใช้งานได้ เช่น ถามเกี่ยวกับร้านอาหาร หรือสถานที่ที่เคยไป เพื่อคงความสามารถในการแข่งขันในยุคที่ AI และโซเชียลมีเดียกลายเป็นเครื่องมือค้นหาข้อมูลที่มีความสำคัญมากขึ้น
ในขณะเดียวกัน Google ก็กำลังปรับตัวเพื่อให้โฆษณาสอดคล้องกับการค้นหาที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดยเริ่มทดลองรวมโฆษณาเข้ากับการสรุปการค้นหาผ่าน AI ในอุปกรณ์มือถือในสหรัฐฯ แล้ว
สิ่งนี้เป็นความพยายามที่จะให้ Google สามารถยังคงดึงดูดผู้ลงโฆษณาได้ แม้ว่าจะเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากแพลตฟอร์มอื่นๆ
ทั้งนี้ แม้ส่วนแบ่งการตลาดของ Google ในสหรัฐฯ จะลดลง แต่ Google ยังคงมีส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลกที่แข็งแกร่งมาก โดยยังครองตลาดการค้นหาประมาณ 90% ทั่วโลก ซึ่งสูงกว่าแพลตฟอร์มคู่แข่งอื่นๆ เช่น Bing, Yahoo หรือเครื่องมือ
ที่มา Business Insider, Washington Post, Yahoo Finance 1, Yahoo Finance 2, New York Times, Econsultancy, Adobe, Sprout Social, BBC, The Week, Fast Company, Mashable, Brussels Times, Entrepreneur, Bizz Buzz, ABC