รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อวันวันศุกร์ที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมาว่า จะยุติสถานภาพการอยู่อาศัยตามกฎหมายของผู้อพยพมากกว่า 500,000 คนในสหรัฐฯ ผู้อพยพมีเวลา 30 วันเปลี่ยนสถานภาพผู้อพยพหรือย้ายออกจากประเทศไป
การไล่ผู้อพยพระลอกใหญ่ออกจากประเทศเป็นเรื่องที่โดนัลด์ ทรัมป์พูดมาเสมอตั้งแต่ลงหาเสียงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่ดเดือนพฤศจิกายน 2567 ว่า จะ “ขับไล่ผู้อพยพหลายล้านคน” และดูเหมือนประธานาธิบดีจะดำเนินการอีกก้าวเพื่อให้แน่ใจว่านโยบายที่เป็นปัจจัยหนึ่งในการพาเขาชนะกลับเข้าสู่ทำเนียบขาวข้อนี้จะเป็นจริง
การประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สหรัฐฯ อ้างว่าเป็นการแก้ไขโครงการที่ถูกร่างขึ้นในสมัยโจ ไบเดน ที่ให้ “ช่องทางถูกกฎหมาย” แก่ผู้อพยพชาวคิวบา เฮติ นิการากัว และเวเนซุเอลา ที่ผ่านการตรวจประวัติเข้ามาทำงานในสหรัฐฯ ได้ ประกาศดังกล่าวของสหรัฐฯ ใต้การบริหารของทรัมป์ส่งผลกระทบต่อสถานะของผู้อพยพจาก 4 ประเทศดังกล่าวราว 532,000 คน
โครงการของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่ทรัมป์กำลังแก้ไขคือโครงการผ่อนผันให้เข้าประเทศเป็นกรณีพิเศษแก่ผู้ที่มาจากคิวบา เฮติ นิการากัว และเวเนซุเอลา (Cuba, Haiti, Nicaragua, Venezuela (CHNV) Parole Program) ที่ใช้เป็นครั้งแรกเมือเดือนตุลาคม 2565 และขยายเพิ่มในเดือนมกราคม 2566
จุดมุ่งหมายของโครงการผ่อนผันคนเข้าเมืองของไบเดนชี้ว่า ต้องการลดการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายของผู้อพยพจากคิวบา เฮติ นิการากัว และเวเนซุเอลา เนื่องจากเล็งเห็นถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของผู้อพยพ โครงการอนุญาตให้ประชาชนจากทั้ง 4 ประเทศที่ผ่านการตรวจสอบประวัติและสมาชิกครอบครัวสายตรงสามารถเดินทางเข้ามาในสหรัฐฯ และได้รับอนุญาตให้อยู่อาศัยชั่วคราวเป็นเวลา 2 ปี
รายงานจาก The New York Times ปี 2567 ชี้ว่าโครงการดังกล่าวทำให้ตัวเลขผู้อพยพในปี 2565 เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก มีผู้อพยพผ่านชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกสูงถึง 1.5 ล้านคนในปีนั้น สถานภาพการอยู่อาศัยของผู้เข้าร่วมโครงการจาก 4 ประเทศนั้นมีระยะ 2 ปีและจะต้องต่ออายุเพื่อขยายเวลา
รายงาานจาก The New York Times ระบุว่าก่อนหน้าโครงการของไบเดนจะเริ่มขึ้น ผู้อพยพจากคิวบา เฮติ นิการากัว และเวเนซุเอลา ซึ่งทั้ง 4 ประเทศไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐฯ มักจะต้องอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงแออัดในนิวยอร์กซิตี้หรือเมืองใหญ่อื่นๆ ดังนั้นโครงการจึงกำหนดให้ผู้อพยพจาก 4 ประเทศที่ยื่นขอเข้าร่วมโครงการผ่อนผัน ต้องมีผู้สนับสนุนอยู่ในสหรัฐฯ อยู่แล้วเพื่อรับผิดชอบเรื่องการเงินและการทำใบอนุญาตการทำงาน
อย่างไรก็ตาม รายงานจากกระทรวงความมั่นคงภายในสหรัฐฯ (department of homeland and security: DHS) ชี้ว่า โครงการ CHNV นั้น “ไม่จำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมายความมั่นคงชายแดน” และ “ไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาการอพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายในระดับสูง”
DHS ยังกล่าวอีกว่า โครงการ CHVN นั้นไม่สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศปัจจุบันของสหรัฐฯ และเป้าหมายหลักของประเทศที่เรียกว่า “อเมริกาต้องมาก่อน” ไม่ได้มีการดำเนินการตรวจสอบผู้อพยพผิดกฎหมายที่ชายแดนทางใต้ของสหรัฐฯ เพิ่มการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ของรัฐบาลให้ผู้อพยพ ขัดขวางการทำงานของตำรวจตระเวนชายแดน และเพิ่มปริมาณการย้ายถิ่นฐาน
ผู้อพยพจากคิวบา เฮติ นิการากัว และเวเนซุเอลา มากกว่า 500,000 คนมีเวลา 30 วันนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เมื่อ DHS ออกประกาศยุติโครงการผ่อนผันของไบเดนอย่างเป็นทางการ (25 มีนาคม 2568) จนกว่าพวกเขาจะไม่ได้รับการปกป้องตามกฎหมายจากโครงการของไบเดนอีกต่อไป พวกเขาจึงมีทางเลือกสองทางคือ การย้ายสถานะการได้รับอนุญาตให้พำนักในสหรัฐฯ เป็นประเภทอื่น หรือสองคือการย้ายถิ่นยฐานออกจากประเทศภายในระยะเวลาดังกล่าว
ทนายผู้อพยพนิโคเล็ตต์ เกลเซอร์กล่าวว่า การตัดสินใจครั้งนี้จะสร้างผลกระทบให้กับคนครึ่งล้าน เธอเผยแพร่โพสต์บน X ว่า “มีคำขอร้องลี้ภัยเชิงลุก (affirmative asylum applications) เพียง 75,000 ฉบับเท่านั้นที่ถูกยื่นไป ดังนั้นคนส่วนใหญ่ในโครงการผ่อนผัน CHNV จะพบว่าตัวเองไม่มีสถานะอยู่อาศัย ไม่มีใบอนุญาตให้ทำงาน และต้องย้ายออกไป” เธอกล่าวต่อ “ความโกลาหลคงเกินจะนึกคิด”
อ้างอิง: Frace24, CNN , American Immigration Council, Indian Express,
,