ประกันภัยรถยนต์แบ่งออกเป็นหลายรูปแบบการคุ้มครอง โดยแยกเป็น ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ซึ่งเป็นรูปแบบประกันภัยรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองสูงสุดและครอบคลุมที่สุด นอกจากนั้นก็ยังมีประกันภัยชั้น 2 หรือ 2+ และประกันภัยชั้น 3 หรือ 3+ เป็นทางเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานของเจ้าของรถยนต์แต่ละคน
จุดเด่น
คุ้มครองความเสียหายของทั้งรถยนต์คันที่ทำประกันภัย เมื่อเกิดเหตุไม่ว่าจะมีคู่กรณีหรือไม่มีคู่กรณีก็ตาม รวมถึงให้ความคุ้มครองครอบคลุมกรณีรถยนต์ไฟไหม้ สูญหาย และภัยทางธรรมชาติ อาทิ พายุ น้ำท่วม แผ่นดินไหว เป็นต้น
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ยังให้ความคุ้มครองต่อชีวิต และทรัพย์สินของคู่กรณี และบุคคลภายนอก คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล ของบุคคลในรถ และคุ้มครองเงินค่าประกันตัวในคดีอาญาอีกด้วย
นอกเหนือจากนั้น ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ยังแยกเป็นทั้งแบบซ่อมศูนย์ และซ่อมอู่ ซึ่งจะมีผลต่อเบี้ยประกันที่แตกต่างกัน ซึ่งประกันแบบซ่อมศูนย์จะมีราคาสูงกว่า เนื่องจากเมื่อเกิดความเสียหายต่อรถที่ทำประกันภัย จะสามารถส่งเข้าศูนย์บริการของรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆ ได้เลย โดยเป็นศูนย์ฯ ที่มีมาตรฐาน และใช้อะไหล่แท้ ทำให้มีความมั่นใจในงานซ่อมได้มากกว่า
ในขณะที่ประกันแบบซ่อมอู่ ก็จะแบ่งออกได้อีก เป็นอู่ในเครือบริษัทประกันฯ ซึ่งมีข้อดีคือ เป็นอู่ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีจากบริษัทประกันภัยแล้ว กับอีกแบบคืออู่ซ่อมทั่วไป ซึ่งจำเป็นต้องหารายละเอียดให้ดี
ประกันรถยนต์ชั้น 1 เหมาะกับใคร
ความจริงแล้ว ประกันรถยนต์ชั้น 1 ถือว่าเป็นรูปแบบการประกันที่ครอบคลุมมากที่สุด และดีที่สุดสำหรับทุกคน แต่ถ้าถามว่าใครควรซื้อประกันภัยชั้น 1 ก็ต้องบอกว่าคนที่เพิ่งหัดขับรถ ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่าคนมีประสบการณ์ หรือชั่วโมงบินสูง การมีประกันภัยชั้น 1 ติดรถไว้จะทำให้อุ่นใจได้มากกว่า
รวมถึงรถที่วิ่งใช้ง่ายบ่อย เป็นประจำ ย่อมต้องเจอความเสี่ยงบนท้องถนนทุกรูปแบบก็ถือว่าควรจะใช้ประกัยภัยชั้น 1 น่าจะตอบโจทย์มากที่สุด ในขณะที่รถใหม่ หรือรถที่ยังอยู่ในระหว่างผ่อนชำระ การเลือกใช้ประกันภัยชั้น 1 ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดี เนื่องจากหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน จะได้ไม่กระเป๋าฉีกแบบไม่คาดคิดนั่นเอง
ประกันภัยชั้น 1 ของที่ไหนดี
ในปัจจุบันมีบริษัทประกันภัยมากมายที่มีบริการประกันภัยชั้น 1 ให้ผู้ใช้รถใช้ถนนได้เลือกสรร ตามความเหมาะสม ตามกำลังของตัวเอง อีกทั้งยังสามารถปรับรายละเอียดต่างๆ ได้ตามต้องการได้มากขึ้น
จุดเด่น
ทั้งประกันภัยชั้น 2 และ 2+ มีจุดเด่นที่มีค่าเบี้ยประกันที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าประกันภัยชั้น 1 แต่มีความคุ้มครองที่ใกล้เคียงกัน จึงค่อนข้างได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมเท่าประกันภัยชั้น 1 อยู่ดี
ซึ่งประกันภัยชั้น 2 จะคุ้มครองในส่วนของ รถหายและไฟไหม้เท่านั้น แต่ไม่คุ้มครองการซ่อมในรถของผู้เอาประกันภัยในกรณีเกิดอุบัติเหตุ ส่วนประกันภัยชั้น 2+ จะเพิ่มความคุ้มครอง ทั้งรถหาย ไฟไหม้ และในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแบบรถชนรถ แต่จะไม่คุ้มครองกับการเกิดอุบัติเหตุการชนแบบไม่มีคู่กรณี เช่น ชนกำแพงบ้าน เฉี่ยวกระถางต้นไม้ รวมถึงการชนกับรถที่ไม่ได้มีทะเบียน หรือไม่ได้จดกับกรมการขนส่งทางบก แต่หากโดนชนแบบไม่มีคู่กรณี แล้วเรามีหลักฐานอย่างเช่น คลิปวงจรปิด กล้องหน้ารถ ที่สามารถระบุตัวคู่กรณีได้ชัดเจน ก็สามารถใช้เป็นหลักฐานในการเคลมเป็นเคสรถชนรถแบบมีคู่กรณีได้ด้วยเช่นกัน
ประกันภัยชั้น 2+ เหมาะกับใคร
ก็ต้องบอกว่า ประกันภัยชั้น 2 มีความคุ้มครองที่มากพอสมควร แต่ก็อาจมีในบางกรณีที่ยังเป็นข้อยกเว้น รูปแบบประกันภัยชั้น 2 จึงเหมาะกับผู้ที่มีประสบการณ์ในการขับรถมากพอสมควร เพราะถ้าไม่ชำนาญในการขับรถแล้วย่อมเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้หลายรูปแบบ
และสำหรับรถคันที่ใช้งานน้อย วิ่งได้ระยะทางที่ไม่มากนัก ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบ้ติเหตุได้น้อยกว่า ประกันภัยชั้น 2 ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดูเหมาะสม เนื่องจากจะช่วยประหยัดในส่วนค่าเบี้ยประกันภัยให้น้อยลงกว่าประกันภัยชั้น 1 นั่นเอง ส่วนรถที่มีอายุเกิน 7 ปีขึ้นจะไม่สามารถต่ออายุประกันภัยชั้น 1 ได้ การเลือกใช้ประกันภัยชั้น 2 และ 2+ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ประกันภัยชั้น 2 และ 2+ ของที่ไหนดี
ประกันภัยชั้น 2 และ 2+ เป็นผลิตภัณฑ์ที่กำลังได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายบริษัทประกันภัยจะมีให้เลือกกันอย่างแพร่หลาย มีความแตกต่างกันเรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อย แต่โดยความคุ้มครองหลักก็จะมีความครอบคลุมในลักษณะเดียวกัน
จุดเด่น
ถือเป็นการทำประกันภัยรถยนต์ที่ราคาถูกที่สุด รองจาก พรบ. หรือประกันภัยภาคบังคับ โดยที่ประกันภัยชั้น 3 จะคุ้มครองครอบคลุมค่าเสียหายเฉพาะรถยนต์คู่กรณี ค่ารักษาพยาบาล ค่าทรัพย์สินต่างๆ แต่จะไม่คุ้มครองในส่วนรถคันที่เอาประกันภัย และไม่ชดเชยในกรณีรถหาย ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม
ส่วนประกันภัยชั้น 3+ นอกจากให้ความคุ้มครองต่อคู่กรณีเช่นเดียวกับประกันภัยชั้น 3 แล้ว ยังคุ้มครองความเสียหายของตัวรถที่เกิดจากรถชนรถที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก แต่ไม่คุ้มครองการโจรกรรม ไฟไหม้ น้ำท่วม หรืออุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี และไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด และส่วนใหญ่จะมี “ค่าเสียหายส่วนแรก” เมื่อทำการเคลม
โดยประกันภัยชั้น 3+ ที่มีการเเพิ่มความคุ้มครองในส่วนของรถเอาประกันภัย จะคุ้มครองในวงเงินที่จำกัด ขึ้นกับผู้ทำประกันภัยแต่ละคนที่เลือกในตอนแรก อาจจำกัดระหว่าง 100,000-200,000 บาท และแน่นอนจำเป็นต้องมีคู่กรณีที่เป็นรถยนต์หรือรถจักรยานที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกเท่านั้น
ประกันภัยชั้น 3+ เหมาะกับใคร
เนื่องจากรูปแบบความคุ้มครองของประกันภัยชั้น 3 และ 3+ จะมีความคุ้มครองที่ค่อนข้างจำกัดกว่าทั้ง ประกันภัยชั้น 1 และประกันภัยชั้น 2 ดังนั้นผู้ที่จะทำประกันภัยชั้น 3 และ 3+ นั้นจึงเหมาะกับรถที่ไม่ได้ใช้านมากนัก รวมทั้งสถานที่จอดรถไม่ว่าจะที่บ้าน หรือที่ทำงานก็ควรเป็นที่จอดรถที่ไม่ความเสี่ยงต่อความเสียหาย และเสี่ยงต่อการโจรกรรม รถเก่าที่มีอายุเกิน 7 ปีขึ้นไป ก็ถือได้ว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากค่าเบี้ย่ประกันภัยจะถูกว่าแบบชั้น 2 และ 2+
ประกันภัยชั้น 3 และ 3+ ของที่ไหนดี
การเช็กเบี้ยประกันภัยชั้น 3 และ 3+ สามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดใดๆ
สำหรับประกันภัยรถยนต์ไม่ว่าจะเป็นประกันภัยชั้นไหนก็ตาม ล้วนมีความสำคัญ และมีประโยชน์ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละบุคคล ดังนั้นการจะเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ชั้นไหน ขึ้นอยู่กับรูปแบบและลักษณะการใช้งานเป็นสำคัญ แต่ทางที่ดีที่สุดคือควรมีประกันรถยนต์ติดรถไว้ โดยเปรียบเทียบและเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ที่เหมาะสมกับเรา