การจุดประทัด เป็นหนึ่งในประเพณีที่สำคัญและเป็นที่รู้จักกันดีในช่วงเทศกาลตรุษจีน เสียงดังสนั่นของประทัดที่จุดขึ้น ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างความสนุกสนานและตื่นเต้น แต่ยังมีความเชื่อและความหมายที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน โดยย้อนไปที่จีนในยุคก่อนคริสตกาล สมัยนั้นยังไม่มีการประดิษฐ์พลุหรือดอกไม้ไฟจริงๆ เพราะมนุษย์ยังไม่รู้จักดินปืน มนุษย์ใช้กระบอกไม้ไผ่สีเขียวเป็นเชื้อไฟโยนเข้าไปในกองเพลิง เมื่อกระบอกไม้ไผ่ถูกเผาไหม้ก็จะเกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ คล้ายเสียงประทัด สร้างความตกใจ ชาวจีนยุคนั้นเลยคิดว่าแม้แต่มนุษย์ยังหวาดหวั่นตกใจกับเสียงนี้ แล้วไยบรรดาภูตผี ปิศาจ วิญญาณทั้งหลายถึงจะไม่เกรงกลัว
ต้นกำเนิดประทัดจีน
นักประวัติศาสตร์หลายคนระบุว่า "ประทัด" เกิดจากความบังเอิญที่น่าสนใจของชาวจีนเมื่อหลายร้อยปีก่อน โดยเชื่อกันว่าขณะที่ชาวจีนกำลังทดลองกับส่วนผสมต่างๆ เพื่อหาสารเคมีใหม่ๆ นั้นเอง พวกเขาก็ได้ค้นพบ "ดินปืน" โดยบังเอิญ เมื่อนำดินปืนมาใส่ในกระบอกไม้ไผ่แล้วจุดไฟ กระบอกไม้ไผ่ก็จะระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ก็เกิดเสียงดังลั่นขึ้น นั่นคือจุดเริ่มต้นของประทัดนั่นเอง
ความเชื่อเรื่องการจุดประทัดในวันตรุษจีน
เรื่องราวของการจุดประทัดในวันตรุษจีนนั้น มีที่มาจากตำนานโบราณเกี่ยวกับปิศาจร้ายตนหนึ่งชื่อว่า “เหนียน” (年兽) ซึ่งเป็นสัตว์ร้ายที่มีรูปร่างน่ากลัว ชอบออกมาทำลายพืชผลและทำร้ายผู้คนในช่วงเทศกาลตรุษจีน ชาวบ้านจึงพยายามหาทางป้องกันตัวจากปิศาจเหนียน โดยการนำสิ่งของต่าง ๆ มาประดับตกแต่งบ้าน เช่น กระดาษสีแดง โคมไฟ และจุดประทัดเพื่อสร้างเสียงดัง เพื่อให้ปิศาจเหนียนตกใจและกลัวจนไม่กล้าเข้ามาใกล้
ความเชื่อและความหมายของการจุดประทัด
• เสียงดังของประทัดจะช่วยขับไล่ปิศาจร้าย และสิ่งอัปมงคลออกไปจากบ้านเรือน ทำให้ปีใหม่เป็นปีที่สดใสและมีแต่สิ่งดี ๆ เข้ามา
• การจุดประทัดจะช่วยนำโชคลาภมาให้กับครอบครัว ทำให้กิจการเจริญรุ่งเรือง
• เป็นการสร้างความสุขสนานและเป็นการเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนร่วมกัน
จากประทัดแบบดั้งเดิมที่ทำจากไม้ไผ่ ก็มีการพัฒนาให้มีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งรูปร่าง สีสัน และเสียง รวมถึงมีการนำประทัดมาประดิษฐ์เป็นดอกไม้ไฟที่สวยงามตระการตา ปัจจุบัน ประทัดยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและประเพณีของหลายประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่างๆ แต่ก็มีข้อควรระวังเรื่องความปลอดภัยในการเล่นประทัด และเนื่องจากภาวะมลพิษทางเสียงและอากาศ ทำให้มีการรณรงค์ลดการจุดประทัดลงเพื่อลดการเพิ่มของฝุ่นควันพิษ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่ประเพณีนี้ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมจีนและยังคงเป็นที่นิยมในหมู่ชาวจีนทั่วโลก
Advertisement