เมื่อถึงเทศกาลตรุษจีน นอกจากประเพณีการไหว้เทพเจ้า การมอบอั่งเปา หลายคนยังนึกถึงแฟชั่นตรุษจีนอย่าง ชุดฉีผาว (Qipao) หรือที่คนไทยเรียกกันว่า "กี่เพ้า" ซึ่งเป็นชุดประจำชาติของประเทศจีนที่มีประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการที่ยาวนาน จนได้รับความนิยมทั่วโลก ชุดกี่เพ้ามีการปรับเปลี่ยนรูปร่างและสไตล์ไปตามยุคสมัย แต่ยังคงรักษาความงดงามและความเป็นเอกลักษณ์ของชุดดั้งเดิมไว้ แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าเบื้องหลังของชุดกี่เพ้า คือการแสดงพลังของผู้หญิงที่ขอปลดแอกการแบ่งชนชั้น และความไม่เท่าเทียมทางเพศผ่านทางเสื้อผ้า และนี่คือการเดินของชุดกี่เพ้า
กี่เพ้า หรือ ฉีผาว ตามความหมายของตัวอักษรจีน หมายถึง ชุดเสื้อคลุมยาว ("ฉี" แปลว่า ธง "ผาว" แปลว่า ชุดเสื้อคลุมยาว) แรกเริ่มเดิมทีไม่ได้มีทรงรัดรูปอย่างปัจจุบัน แต่เป็นชุดของชาวแมนจูในสมัยราชวงศ์ชิง (Qing Dynasty) ลักษณะเป็นเสื้อคลุมตัวยาว ทรงกว้าง หลวม เรียบง่าย เหมาะสำหรับการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน ในช่วงนั้น ชาวแมนจูคือชนชั้นสูงของสังคมจีน สิ่งที่เป็นเครื่องยืนยันว่า "กี่เพ้า" เป็นเครื่องแต่งกายของชนชั้นสูงก็คือ ผู้หญิงในราชวงศ์ชิงและในตระกูลขุนนางทุกคนจะสวมใส่ชุดนี้ อีกทั้งในช่วงยุคต้นของราชวงศ์ชิง มีการออกกฎให้ชาวฮั่นทุกคนสวมใส่ชุดกี่เพ้าและตัดผมทรงแมนจู หากผู้ใดไม่ปฏิบัติตามจะถูกทำโทษร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต
หลังจากราชวงศ์ชิงล่มสลายจากการปฏิวัติซินไฮ่ในปี 1911 ปัญญาชนหญิงเริ่มเข้าถึงแนวคิดเฟมินิสต์ของฝั่งตะวันตก มีการตั้งคำถามต่อการถูกกดขี่ทางเพศ ความไม่เท่าเทียม จึงมีการนำชุดกี่เพ้ามาสวมใส่ในวงกว้าง แต่ยังเป็นการสวมกี่เพ้ากับกางเกงเฉกเช่นเดียวกับผู้ชาย เพื่อเรียกร้องการให้ความสำคัญกับผู้หญิง สะท้อนถึงอุดมการณ์หัวก้าวหน้า ซึ่งนับว่าเป็นการแสดงออกทางการเมืองอย่างหนึ่งในยุคนั้น
จนกระทั่งในยุค 1920s ผู้หญิงเริ่มอยากหลุดพ้นจากบรรทัดฐานทางสังคม ไม่ได้อยากถูกจำกัดอยู่เพียงบทบาทแบบเดิมๆ และไม่อยากต้องซ่อนตัวอยู่ในเสื้อผ้าขนาดใหญ่ หลวมโพรก เพื่อพรางรูปร่างและสัดส่วนตามขนบธรรมเนียมโบราณว่านั่นคือการเป็นผู้หญิงที่ดี เหมือนแม่และยายของพวกเธออีกต่อไป จากเดิมที่เคยใส่กี่เพ้ากับกางเกงก็เปลี่ยนเป็นการใส่กี่เพ้าตัวเดียว พร้อมกับการตัดเย็บให้เป็นเดรสที่มีความรัดรูปและขับเน้นทรวดทรงและความสง่างามตามธรรมชาติของผู้หญิงมากขึ้น เพื่อแสดงออกถึงเสรีภาพในการแต่งกาย และสิทธิในร่างกายของตน
แม้ภาพเงาจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา กี่เพ้าเริ่มปรับไปตามตะวันตก จากที่คลุมยาวถึงข้อเท้าก็เริ่มสั้นลง มีการผ่าข้าง เป็นเสื้อแขนกุด ปรับรูปร่างช่วงท่อนบนและเน้นช่วงหน้าอกให้มากขึ้น มีการปักลูกไม้หรือเลื่อมประดับ ปักลวดลาย ภาพดอกไม้และนกหรือภาพอื่นๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของจีน มีการดัดแปลงวัสดุที่ใช้ในการตัดเย็บให้มีความบางกว่าเดิมเพื่อง่ายต่อการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน แต่ความหมายเบื้องหลังกี่เพ้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือการปลดปล่อยสตรีและพัฒนาการของการรับรู้ตนเอง
กี่เพ้า ก้าวเข้าสู่การเป็นแฟชั่นยอดฮิตของหญิงสาวในยุคนั้น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างเซี่ยงไฮ้ที่กลายเป็นศูนย์กลางแฟชั่นเพราะเป็นเมืองท่า มีการค้าขายกับชาติตะวันตก ภาพของหญิงสาวหลากหลายวัยและฐานะ สวมกี่เพ้าสีสันสวยงาม ตัดเย็บและประดับประดาด้วยงานปักที่ประณีต เดินขวักไขว่อยู่ในเมืองจนกลายเป็นภาพชินตา การสวมใส่กี่เพ้าเข้ารูปร่วมกับถุงน่องและรองเท้าส้นสูง ถือเป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยมสูงสุด
แต่ไม่มีสิ่งใดที่จีรัง ในปี 1949 จีนเข้าสู่ช่วงเวลาหลังการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ แฟชั่นถูกลดบทบาทลง ไม่มีใครอยากจะสวมใส่กี่เพ้า เพราะมันถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของยุคแห่งศักดินาและอิทธิพลของชาวตะวันตกที่พวกเขาไม่อยากจดจำ ใครที่สวมใส่กี่เพ้าจะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ต่อต้านการปฏิวัติในทันที จนถึงยุคปฏิวัติวัฒนธรรม ช่วงปี 1966-1976 ชุดกี่เพ้ายังถูกตีตราว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่านิยมคร่ำครึทั้ง 4 คือ แนวคิด วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตแบบเก่า ที่สมควรถูกขจัดให้สิ้นแผ่นดิน
หลายคนมองว่ากี่เพ้าเป็นมรดกตกทอดของประเพณีจีนที่ล้าสมัย ซึ่งขัดแย้งกับแรงผลักดันในการปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย ผู้คนจึงมักนิยมเครื่องแต่งกายที่เน้นประโยชน์ใช้สอยมากกว่าและได้รับแรงบันดาลใจจากตะวันตก เช่น เสื้อแจ็คเก็ตและกางเกงขายาว แต่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการปฏิวัติวัฒนธรรมในทศวรรษ 1960 ช่างตัดเสื้อจำนวนมากได้แสวงหาที่ลี้ภัยในฮ่องกง ซึ่งเป็นที่ที่ผสมผสานสุนทรียภาพแบบดั้งเดิมของจีนเข้ากับอิทธิพลของตะวันตก ทำให้กี่เพ้ายังคงได้รับการสืบสานและสวมใส่อยู่
กี่เพ้ากลับมาสู่โลกแฟชั่นอีกครั้งในช่วงทศวรรษที่ 90 และต้นทศวรรษ 2000 เมื่อแบรนด์แฟชั่นใช้ประโยชน์จากโครงร่างแบบดั้งเดิมของจีนมาใส่ในเสื้อผ้า ทำให้ความนิยมของกี่เพ้ากลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะบนรันเวย์ ตามหน้าแม็กกาซีนตะวันตก รวมถึงการปรากฏในภาพยนตร์เรื่องดัง In the mood for love ในปี 2000 งานกำกับของ "หว่องกาไว" ซึ่งนักแสดงมากฝีมืออย่าง "จางม่านอวี้" ได้สวมใส่กี่เพ้าหลากหลายสีสัน และรูปแบบ เพื่อสะท้อนถึงห้วงอารมณ์ของตัวละคร จนผู้ชมทั่วโลกหลงรัก และกลายเป็นภาพจำในทันที
อย่างไรก็ตาม การสวมชุดกี่เพ้า ก็นำมาสู่การตั้งคำถามว่าควรจำกัดการสวมชุดนี้สำหรับสตรีเชื้อสายจีนเท่านั้นหรือไม่ เนื่องจากในปี 2017 มีการถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนบนโซเชียลมีเดีย เมื่อนักเรียนมัธยมปลายที่ไม่ใช่คนจีน โพสต์ภาพของตัวเองสวมชุดกี่เพ้าสีแดงไปงานพรอม คำถามที่ว่าคนที่ไม่ใช่คนจีนสามารถสวมชุดแบบดั้งเดิมได้หรือไม่นั้น กลายเป็นกระแสไวรัล เรื่องนี้ Heather Gao นักสะสมชุดกี่เพ้า และเจ้าของร้านกี่เพ้าในสหรัฐอเมริกาได้ให้ความเห็นว่า
"สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าการรับรู้ถึงกี่เพ้านั้นฝังแน่นอยู่ในสังคม และไม่ใช่ความผิดของผู้ที่สวมชุดกี่เพ้า ฉันมีเพื่อนชาวอเมริกันผู้เคยศึกษาประวัติศาสตร์เบื้องหลังการแต่งกายนี้ และต้องการสวมใส่มันด้วยความเคารพและความเข้าใจ ฉันว่าไม่ผิดและไม่ควรปิดกั้นหากใครจะสวมกี่เพ้า แต่ควรจะต้องใส่มันด้วยความเคารพ การให้ความรู้แก่ผู้คนเกี่ยวกับความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของเสื้อผ้านั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันไม่ให้ถูกบิดเบือน เพราะบางครั้งกี่เพ้าโดนตีความไปแบบผิดๆ เพราะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแสดงออกเรื่องเพศและทำให้ผู้หญิงกลายเป็นวัตถุ"
ปัจจุบัน การสวมชุดกี่เพ้านอกจากจะเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมของจีนแล้ว ยังเกี่ยวพันถึงเรื่องของแฟชั่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะฉะนั้นหากใครได้สวมใส่ จงอย่าลืมที่มาของกี่เพ้าว่า เบื้องหลังความสวยงามเหล่านี้ คือการปลดปล่อยสตรี การต่อสู้ดิ้นรนของการกดขี่ทางเพศ และสะท้อนถึงการรับรู้ที่เปลี่ยนแปลงไปเกี่ยวกับร่างกายของผู้หญิงที่พยายามหลุดพ้นจากบทบาทแบบดั้งเดิม จึงควรสวมใส่ด้วยความเคารพ และแน่นอนว่ากี่เพ้าจะเป็นแฟชั่นที่ไม่มีวันตาย เพราะมันไม่ใช่แค่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติจีนเท่านั้น แต่มันเป็นมรดกวัฒนธรรมของแฟชั่นระดับโลกไปแล้ว
ขอบคุณภาพประกอบจาก Information Services Department of Hong Kong
Advertisement