ทำไมคนยังแห่กราบไหว้ ทั้งที่ความจริงปรากฏ ? รู้จักจิตวิทยา "ความยึดมั่นในความเชื่อเดิม" ต่อให้เอาความจริงมากองตรงหน้า ก็ไม่ตาสว่างเสียที
ความเคารพ ศรัทธา หรือด้วยมารยาททางสังคมอาจเป็นแรงส่งให้สองมือประนมยกขึ้นมา "ไหว้" ทว่า ก็มีปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยครั้งกับการ ห้อมล้อมกราบไหว้ในสิ่งที่เต็มไปด้วยข้อกังขา หรือ สิ่งที่มีหลักฐานเด่นชัดว่า บุคคลนั้นเป็นเพียงปุถุชนที่ไม่ได้มีพลังวิเศษอะไร...
นอกเหนือจากคำว่า "เป็นความเชื่อส่วนบุคคล" ปรากฏการณ์ทางสังคมนี้คืออะไรกันแน่ ? สามารถอธิบายขยายได้หรือไม่นั้น
วันนี้ อมรินทร์ออนไลน์ จะพาไปรู้จักกับคำว่า Belief Perseverance หรือ "ความยึดมั่นอยู่กับความเชื่อ" แม้ว่าหลักฐานจะแสดงว่าเป็นความเชื่อผิดๆ
ความเอนเอียงจากการพยายามเชื่อ (belief perseverance bias) เป็นความเอนเอียงที่สัมพันธ์กับแนวคิดของ cognitive dissonance หรือ ความไม่สบายใจเมื่อต้องเผชิญกับข้อมูล หรือ สถานการณ์ที่ขัดแย้งกับความเชื่อและทัศนคติเดิมที่มีอยู่
ดังนั้นจึงพยายามหาเหตุผลและแสดงพฤติกรรมเข้าข้างความคิดดั้งเดิมของตนเอง ความเอนเอียงจากการพยายามเชื่อสามารถแบ่งออกได้เป็น ความเอนเอียงจากการอนุรักษ์นิยม ความเอนเอียงจากการยืนยัน ความเอนเอียงจากการเป็นตัวแทน ความเอนเอียงเพราะเข้าใจผิดว่าควบคุมได้ และความเอนเอียงจากความเข้าใจถึงปัญหาหลังเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว (ข้อมูลอ้างอิง : fin.bus.ku.ac.th)
มีข้อมูลหนึ่งจาก th.wikipedia.org เผยข้อชวนถกคิด และใช้วิจารณญาณในการไตร่ตรองถึงประเด็นที่กล่าวมา โดยระบุข้อความว่า
"งานทดลองหลายงานในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960 ส่อว่า มนุษย์มีความลำเอียงที่จะยืนยันความเชื่อที่มีอยู่ของตน ส่วนงานวิจัยต่อๆ มาตีความหมายของผลการทดลองเหล่านั้นใหม่ว่า เป็นความเอนเอียงที่จะทดสอบความคิดต่างๆ จากทางด้านเดียวเท่านั้น คือ ให้ความสนใจต่อข้อสันนิษฐานเพียงข้อเดียวโดยที่ไม่ใส่ใจข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้ข้ออื่นๆ ในบางกรณี ความลำเอียงนี้สามารถทำลายความเป็นกลางของข้อสรุป เหตุที่ใช้ในการอธิบายความลำเอียงเช่นนี้รวมทั้งความอยากที่จะให้เป็นอย่างนั้น และสมรรถภาพที่จำกัดในการประมวลข้อมูลของมนุษย์
ส่วนคำอธิบายอีกอย่างหนึ่งก็คือมนุษย์มีความเอนเอียงเพื่อยืนยันความคิดฝ่ายตน เพราะคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเสียไปถ้าตนเองเป็นฝ่ายผิด แทนที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเป็นกลางๆ โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์"
การกราบไหว้สิ่งที่ไม่ควรกราบไหว้ อาจเกิดจากหลายปัจจัยทางจิตวิทยาและสังคม เช่น ความเชื่อ ความกลัว หรือกลไกการป้องกันทางจิตใจ เช่น
1. ความเชื่อและอิทธิพลทางวัฒนธรรม
• ภาวะอุปาทานหมู่ : ถ้าสังคมรอบตัวให้ความสำคัญกับการกราบไหว้สิ่งนั้น ก็อาจทำให้บุคคลปฏิบัติตามโดยไม่ตั้งคำถาม
• แนวโน้มที่จะเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ : บางคนอาจมีแนวคิดว่าถ้าไม่ไหว้อาจเกิดโชคร้าย หรือหากไหว้จะได้รับโชค
2. ภาวะทางจิตที่เกี่ยวข้อง
• Illusory Correlation คือ ปรากฎการณ์ที่มนุษย์เชื่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่ได้มีเหตุผลมารองรับเพียงพอ เช่น เชื่อว่าการกราบไหว้บางสิ่งนำมาซึ่งโชคดี ทั้งที่ไม่มีหลักฐานยืนยัน
• Obsessive-Compulsive Disorder (OCD) – โรคย้ำคิดย้ำทำ เช่น ต้องกราบไหว้สิ่งต่างๆ ซ้ำๆ เพราะกลัวว่าไม่ทำแล้วจะเกิดเรื่องร้าย
• Delusional Disorder - ภาวะหลงผิด เช่น เชื่อว่าวัตถุสิ่งของหรือบุคคลทั่วไปมีพลังวิเศษเกินจริง และต้องกราบไหว้
3. กลไกทางจิตวิทยาเพื่อความสบายใจ
• Cognitive Dissonance ทฤษฎีความขัดแย้งทางความคิด : ถ้าคนรอบข้างกราบไหว้ แล้วเราไม่กราบ อาจรู้สึกไม่สบายใจ จึงทำไปเพื่อความสบายใจของตัวเอง
• Terror Management Theory ทฤษฎีการจัดการกับความกลัว : การกราบไหว้อาจเป็นกลไกที่ช่วยลดความกลัวเกี่ยวกับชีวิตและความตาย
ข้อมูลดังที่กล่าวมาเป็นเพียงการคาดคะเนสาเหตุของปรากฏการณ์ การกราบไหว้ในสิ่งที่เป็นข้อกังขา มูลเหตุที่แท้จริงอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น จากอิทธิพลทางวัฒนธรรม ภาวะทางจิต เช่น โรคย้ำคิดย้ำทำ หรือ โรคหลงผิด และกลไกทางจิตวิทยาที่ช่วยให้บุคคลรู้สึกปลอดภัยและมั่นคงขึ้น ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการตั้งคำถามกับสิ่งที่เราเชื่อ และตรวจสอบข้อมูลก่อนปฏิบัติตามสังคม หรือหากเป็นความสบายใจ ก็ต้องไม่สร้างความเดือดร้อนรำคาญหรือสร้างความเสียหายให้แก่ผู้อื่น สิ่งนั้นอาจพึงกระทำได้ภายใต้ศีลธรรมอันดีและไม่ผิดกฎหมาย
Advertisement