“เกรซ กาญจน์เกล้า” เครียดหนักจน "หน้าดำ" นอนไม่พอต้องเข้า รพ. วงการบันเทิงโหดกว่าที่คิด เปิดเคล็ดลับสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ทำยังไงถึงผิวขาวออร่า
“เกรซ กาญจน์เกล้า” เครียดหนักจน "หน้าดำ" นอนไม่พอต้องเข้า รพ. วงการบันเทิงโหดกว่าที่คิดเปิดใจนักแสดงสาว เกรซ กาญจน์เกล้า ในรายการ Prime Cast ที่มี ปันปัน สุทัตตา รับหน้าที่เป็นพิธีกร
หลังจากโลดแล่นในวงการบันเทิงมาอย่างยาวนาน 21 ปี เข้าวงการตั้งแต่อายุ 15 ใช้ชีวิตแบบทำร้ายตัวเองเพื่อความฝัน? เคยเครียดจนหน้าดำ ต้องยกกองละคร หามส่ง รพ. เพราะบ้าออกกำลังกาย? จึงหันมาให้ความสำคัญของการสร้างสมดุลในชีวิต ดูแลสุขภาพทั้งกายและใจ พร้อมเผยเคล็ดลับความขาวออร่า ทัศนคติเชิงบวก ความสุขจากภายใน ที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดูดีและมีความสุข
อยู่วงการมา 21 ปี ตั้งแต่อายุ 15 ไม่เปลี่ยนไปเลยสวยเหมือนเดิม อยู่วงการมานาน มีช่วงโทรมไหม ?
เกรซ : ทุกวัน คือคิดว่ามันขึ้นอยู่กับช่วงที่เราได้นอนมาก ได้นอนน้อย เครียดมากเครียดน้อย ความเครียดมันทำให้เราหน้าดำได้ ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) มันทำให้หน้าดำได้จริงๆ คือมันไม่เกินจริงนะ คำว่าหน้าดำคร่ำเครียด มีอยู่ที่เราเรียนมา คือมันจะเป็นฮอร์โมนตัวหนึ่งในร่างกาย ที่เขาบอกว่าเมื่อไหร่ที่เราเครียดมันจะดูออกมา
แล้วช่วงนั้นเรารับมือยังไง ?
เกรซ : คือตอนนั้นยังไม่ได้รู้ว่าคืออะไร เราก็เครียดไปตามเรื่องตามราว ไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตฉันจะต้องไม่เครียด ใช้ชีวิตไปตามมีตามเกิดตอนนั้นน่ะ ที่แบบว่าเริ่มที่จะเล่นละคร ชีวิตเรามันถูกดำเนินด้วยความเครียด วันหนึ่ง 15-16 ถึง 20 ซีน เมื่อก่อนถ่ายเช้าจนเย็น ถ่ายไปออนไปเป็น 20 ซีน ร้องไห้ไปแล้ว 16 ซีน ตาก็บวมแล้วก็ต้องร้องไห้สลับอารมณ์ดี เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวบ้า คือมันเป็นอะไรแบบนั้นเรียกว่าชีวิตของเรามันไม่ได้ดำเนินเรียบง่าย แต่เราก็ยังคงต้องสวย ยังคงต้องหุ่นดี ยังคงต้องมีสมองในการโฟกัส ในการจำบทและแสดงออกมา
คือก็รู้สึกว่าความยากในสมัยนั้นมันคือเราใช้ร่างกายอย่างไม่มีคำว่าถนอมและประนีประนอมเลย แต่พอโตขึ้นก็รู้สึกว่าเริ่มมีโอกาสได้เลือกงานมากขึ้น ได้รู้ว่าจะเอาตัวเราไปวางไว้ตรงไหน เพื่อที่จะทำให้ร่างกายไม่โทรมจนเกินไป พูดง่ายๆ คือเกรซรู้สึกว่าตัวเองใช้ร่างกายมาอย่างถึกทนมากตั้งแต่เด็กๆ ตั้งแต่ 15 ปี มันเป็นชีวิตที่บางทีเราเลือกไม่ได้ แล้วมันก็เป็นงานโดยส่วนรวม เป็นสิ่งที่เป็นหน้าที่ของเราจริงๆ แล้วในจังหวะตอนนั้นด้วย มันก็เลยแบบเป็นอะไรที่แบบชีวิตค่อนข้างจะเลือกไม่ได้นิดหนึ่ง แล้วก็หนักในขณะที่ถ่ายละครอยู่แล้วบทก็มาทีละใบ หลับอยู่ตรงนั้นเลย ตี 2-3 บทมาแล้วก็ลุกขึ้นมาถ่าย เลยเป็นอีกสาเหตุที่รู้สึกว่าตัวเองร่างกายสรวนเร็วมาก แล้วต้องรีบกลับมามีบาลานซ์ที่ดีให้กับชีวิตเราไม่งั้นตายเร็วแน่
จุดทริกเกอร์ตอนนั้นก็คือเป็นช่วงที่มันโหลดมากๆ ใช่ไหม ?
เกรซ : ใช่ ในจุดที่แบบโหลดมากๆ แล้วก็ในจุดที่เราแบบไม่รู้จักบาลานซ์ด้วย เพราะว่าเรายังเด็ก แล้วคิดว่าเราไหวไง คิดว่า เหมือนตอนถ่ายละคร แล้วไปเที่ยวถึงตี 4 หลับไปแค่ครึ่งชั่วโมง ตี 5 ครึ่ง ตื่นขึ้นมาอีกไปถ่ายละคร ตอนนั้นมันไหว แต่มันจะมีจุดหนึ่งที่เราว่าไม่ได้แล้ว
แล้วหลังจากนั้นทำยังไง พอเราเริ่มหาบาลานซ์ ต้องหันมาดูแลร่างกาย ?
เกรซ : เพิ่งหาบาลานซ์ของตัวเองได้เมื่อประมาณ 3-4 ปีที่แล้วเอง ที่รู้สึกว่าพอเราออกมาเป็นนักแสดงอิสระแล้ว เรามีสิทธิ์เลือกมากขึ้น มีสิทธิ์เลือกบทละครที่มันไม่หนักมากแล้วก็เลือกการถ่ายทำที่มันไม่สรวนมาก
ใน 3 ปีที่แล้ว คือเป็นจุดที่ทำให้เริ่มมาดูแลสุขภาพ ?
เกรซ : ใช่ เป็นจุดที่ทำให้เรารู้สึกว่าสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญที่สุด รู้สึกว่าสุขภาพเป็นสิ่งที่ต้องมาเป็นอย่างแรกไม่ใช่เรื่องงาน เมื่อก่อนตอนเด็กๆ เราจะให้เรื่องเรียนเรื่องงานเป็นอย่างแรก แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเราต้องให้อะไรเพื่อความสุขในระยะยาวเพื่อที่จะไม่ให้เอาเงินที่เราตั้งหน้าตั้งตาทำมารักษาตัวเองตอนแก่ มันก็ไม่ใช่
คิดว่าในสมัยก่อน มีเรื่องสุขภาพอะไรที่เราเข้าใจผิด ?
เกรซ : เราควรออกกำลังกายทุกวันอันนี้ผิด พี่คนหนึ่งที่ไม่ออกกำลังกายทุกวัน
สมัยก่อนคิดว่าออกกำลังกายทุกวัน ?
เกรซ : ออกกำลังกายต้องออกทุกวัน แล้วสมัยตอนที่ช่วงที่ปั้นซิกแพคกับก้นใหม่ๆ จะต้องออกทุกวัน แต่ความจริงแล้วคือไม่ ร่างกายต้องได้พัก คือรู้สึกว่าเราเครียดเกินไปตอนนั้น ยังไม่รู้ว่าร่างกายคือเครียดนะการออกกำลังกายทุกวันบางที
คือถ้าคุณเป็นคนที่นอนเร็ว แน่นอนคุณออกกำลังกายได้ทุกวัน วิ่งมันสามารถวิ่งได้ทุกวัน แต่ถ้าสมมุติเวทเทรนนิ่งหรือใช้อะไรที่มันแบบทำให้กล้ามเนื้อ เป็นการทำร้ายร่างกาย เช่น พวกยกเวท แล้วมันต้องมีเวลาในการ Recover ออกกำลังกายทุกวันไม่ได้ แล้วเราจะทำผิดมากคือไปถ่ายละครออนแอร์ แล้วก็เป็นช่วงที่กำลังปั้นซิกแพคเลย มีเวลาว่างในกองถ่ายประมาณ 3 ชม. ก็ไปยิม ปั้นหน้าท้อง
จำได้ว่าถ่ายละครก็แบบไม่ไหวแล้วยม นอนก็น้อยเพราะถ่ายละครติดกันมา 3 วันแล้วตอนนั้นก็ยังไปออกกำลังกายอีก ได้ประมาณครึ่งชั่วโมงหายใจไม่ออก เข้าโรงพยาบาลเลย ละครก็ไม่ได้ถ่ายกองถ่ายก็เสียหายจาก mindset ผิดของเรา มันทำให้คนอื่นเดือดร้อน ตั้งแต่วันนั้นคือเปลี่ยนความคิดเปลี่ยน mindset ไปเลยในเรื่องของการออกกำลังกาย ไหวแค่ไหนเอาแค่นั้น เรื่องการนอนต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก
ถือว่าตอนนี้ชีวิตบาลานซ์ไหมกับเรื่องเรียนตอนนี้ ?
เกรซ : ชีวิตรู้สึกว่าได้บาลานซ์ในความรู้ คือคนจะชอบถามเยอะมากว่าทำไมถึงเรียน ก็บอกเลยว่าเราอยากเป็นคนสวยที่เก่ง คือไม่ได้อยากเป็นคนสวยอย่างเดียว ไม่ได้หมายความว่าสวยแล้วไม่มีสมองแล้วไม่ได้เรียนต่อไม่เก่งนะ แต่ว่าเราเป็นคนปากเก่ง คือสมองเราต้องเก่งเท่าปากเข้าใจไหม คือเราไม่สามารถที่จะเก่งแต่ปากได้อย่างเดียว คือนิสัยเราไม่ได้ดีอยู่แล้วแต่ว่าปากเราดี ทำไงสมองเราต้องดีด้วย มันต้องไปด้วยกัน มันต้องทำงานไปด้วยกันไม่ใช่ดีแต่ปากอย่างเดียว นิสัยก็ไม่ดีสมองก็ไม่ดีไม่ได้ แต่ว่าตอนนี้เราสวยแล้วเราก็มีสมองด้วย
อยากรู้ในฐานะชาวเน็ต ทำไมผิวขาวออร่า ?
เกรซ : คนก็จะถามว่าทำไมเราไม่แก่ลงเลย จะบอกเลยนะว่าคือเกรซเป็นคนที่ไม่เครียดนาน เป็นคนมีความสุขกับชีวิตและพอใจในชีวิตตัวเองมาก แค่นี้คือสวยแล้ว วันนี้ตื่นมาอาจจะมีพุงหน่อย เพราะว่าอึไม่ออก แต่ก็โอเคก็ไม่ได้แย่นะ รู้สึกว่าเรามีความสุขกับตัวเองทุกวัน สำคัญมากนะ คือตั้งแต่ยังไม่มีเรื่องการ Manifest เลยนะ เป็นคนที่มีพลังบวกอยู่แล้ว พลังบวกในตัวเอง ทั้งเชิงลบเชิงบวก เชิงติดลบ คือเราเป็นคนมี Energy สดใสร่าเริงอยู่แล้ว คือรู้สึกพอใจกับทุกๆ ก้าวในชีวิตของตัวเอง แล้วการที่เรามีความสุขจากข้างใน มันออกมาสู่ข้างนอกจริงๆ ถามว่าเราดูแลตัวเองดีไหม เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองไหม ใช่แน่นอน
คนจะถามว่ากินอาหารเสริมไหม คือบอกเลยนะถ้าเราไม่กินอาหารเสริม ตายไปนานแล้ว หรืออาจจะสภาพเป็นอะไรอยู่ก็ไม่รู้ จริงๆนะในช่วงเวลา 15-20 ที่เราควรจะได้เจริญเติบโตอย่างสวยงามและเต็มที่ เรากลับใช้ร่างกายตัวเองไปในทิศทางตรงกันข้ามเพื่อในสิ่งที่รัก แล้วในตอนนั้นถามว่ารักจริงไหมก็ไม่ได้รู้ด้วยนะว่ารักไหม เพียงแต่ว่าโอกาสมันเข้ามา อายุ 15 เรายังไม่รู้หรอกว่าชอบอะไร
ถ้าถามเคล็คลับก็คือมีความสุขจากภายใจ แล้วก็รักตัวเองจริงๆ ถ้าเรารักตัวเอง เราจะรักคนรอบข้างด้วย
ถ้าวันหนึ่งรู้ตัวว่าเครียดมากเลย ทำไงก่อนอย่างแรก ?
เกรซ : ร้องไห้เลย เป็นคนที่ไม่รู้จะทำอะไรเวลาเครียด หรือว่าไม่ได้นอนหรือนอนน้อย รู้สึกว่าทำไมต้องอดทนหรืออะไรร้องไห้เลย แล้วก็ไม่อายด้วย แค่สงสารแฟนพี่ต้องมารับฟังว่าวันนี้เอาอีกแล้ว คืองานอย่างเราเลือกเวลาไม่ได้ ลูกค้าเป็นคนเลือกแล้วคุณลูกค้าจะรู้ไหมคะว่าเมื่อคืนหนูได้นอนตี 3 เพราะว่าจะต้องอ่านหนังสือ อีกวันหนึ่งจะต้องไปสอบ แล้ววันนี้จะต้องมาสดใสเพื่ออ่านสคริปต์เขาไม่รู้ เพราะเราเป็น Perfectionist แบบสุดๆ เมื่อก่อนเป็นหนักกว่านี้อีก ตั้งแต่ตอนยังไม่เรียนนะ แต่พอเริ่มเรียนรู้แล้ว คำว่าปล่อยกับคำว่าวางทำได้นะ ถ้าทำได้คือจะมีชีวิตที่ดี มีสุขภาพใจที่ดี และสุขภาพกายที่แข็งแรงไปอีกยาวนาน เพราะชีวิตมีสิ่งที่เราคอนโทรลได้และไม่ได้
ใช้ชีวิตอยู่กับโซเชียลมีเดียขนาดนี้ เคย Digital Detox ไหม ?
เกรซ : ยังไม่เคย เอาจริงมันเป็นสิ่งที่ดีนะ มันอาจจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าถ้าถามเกรซรู้สึกว่าบาลานซ์ให้ได้ทุกวันดีกว่าไม่ต้องไปหยุด ไม่ต้องไปเลิกไม่ต้องไปอะไร แต่แค่รู้สึกว่าเราบาลานซ์ในทุกวันดีกว่า Social Detox เป็นสิ่งที่ดีแล้วแต่คนแล้ว อันนี้เป็นปัจเจกมากๆ แต่สำหรับเกรซบาลานซ์ให้ได้ในทุกวันแล้วไม่ทำให้มันมาเป็นสิ่งที่ทำร้ายเราดีที่สุด เพราะจริงๆ แล้ววิจัยมันออกมาแล้วนะว่าการที่เราจับมือถือทุกวัน มันทำให้เราเป็น Anxiety พี่ได้จริงๆ
เพราะฉะนั้นถ้าใครรู้สึกว่าอยากที่จะ Social Detox ก็แนะนำ แต่สำหรับเกรซรู้สึกว่าเป็นคนแฮปปี้กับตัวเอง แล้ว enjoy ที่เห็นคนอื่นมีความสุขอะไรอย่างงี้ เห็นสถานที่สวยๆ รับข่าวสารโซเชียลเป็นสิ่งที่ให้ข่าวสารกับเรา รับข้อมูลใหม่ๆ คิดว่าบาลานซ์มันก็จะดี
แต่ถ้ามีช่วงที่ได้ไปพักไปต่างจังหวัดก็จะไม่เสพสื่อเลย เวลามีค่ามากกว่าที่จะไปสนใจเรื่องของคนอื่น พอโตขึ้นหวงแหนเวลาของเรามาก มีอันหนึ่งที่เกรซเพิ่งไปปฏิบัติธรรมมา เพราะรู้สึกว่าชีวิตเราต้องหาบาลานซ์ที่เขาบอกว่าอาบน้ำตัว ต้องไม่ลืมที่จะอาบน้ำใจ เราเคยได้ถามตัวเองว่าเราอาบน้ำใจบ้างหรือเปล่า คือเราอาบน้ำแต่ตัวแต่ก่อนนอนเคยได้มาชำระล้างใจไหม อะไรที่มันไม่ดีในวันนั้นยังยึดติดยังเก็บอยู่ในใจหรือเปล่า ยังติดเราไปทุกๆ วันหรือเปล่า คือเราอาจจะต้องปล่อยและต้องวางจริงๆ ดีกว่ายึดมั่นถือมั่นเอาความเจ็บปวดและความรู้สึกไม่ดีนั้นไว้กับตัว โดยที่ไม่ปล่อยมันออกมาเลย
อยากให้มีสติกับตัวเองจริงๆ นะคะ เพราะว่ารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เรามีความสุขในระยะยาวกับสุขภาพจิตที่แข็งแรงจากข้างในของตัวเอง เครียดก็คือเครียด ยอมรับว่าเเครียดอยู่ ก็คือทุกอย่างต้องมีลง ไม่ใช่เครียดขึ้นแล้วก็ยืนอยู่อย่างนั้น เราก็ต้องนั่งลงก่อน ต้องบอกตัวเองอย่างงี้ เพราะฉะนั้นเราต้องใจดีกับตัวเองด้วย
Advertisement