สืบนครบาล รวบ "เมย์ พิมพ์ประภัสสร" แปลงโฉมเปลี่ยนทรงผม ตบตาตำรวจปลอมเป็นสาวนักบุญ เบื้องหลังหลอกตุ๋นเหยื่อลงทุน Forex
เจ้าหน้าที่สืบนครบาล ร่วมกันจับกุมตัว น.ส.พิมพ์ประภัสสร หรือ เมย์ อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่ จ.105/2566 ลงวันที่2 มี.ค. 2566 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน“ โดยจับกุมได้ที่บริเวณภายในลานจอดรถวัด ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
พฤติการณ์คือประมาณปี 2560 ที่ผ่านมา แชร์ลูกโซ่ออนไลน์เป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย ซึ่ง บริษัท โอดี แคปปิตอล จำกัด เป็นหนึ่งในนั้น โดยมีพฤติกรรมกล่าวอ้างว่ารับฝากเงินลงทุน นำไปเพิ่มมูลค่าโดยการนำไปเทรดค่าเงิน forex และรับรองกำไรที่ได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 จากเงินลงทุน ซึ่งมีผู้หลงเชื่อเข้าไปร่วมลงทุนจำนวนมาก อีกทั้งผู้ต้องหารายนี้เป็นหนึ่งใน “หัวเรือ” หรือ “แม่ทีม” คนสำคัญ โดยได้ชักชวนผู้สนใจเข้ามาร่วมลงทุนได้เป็นจำนวนมาก และยังมีการ “ไซโค” ต่อๆ กันว่า หากสามารถชักชวนผู้สนใจมาร่วมลงทุนได้เยอะ จะได้สิทธิพิเศษ ไปเที่ยวต่างประเทศ ทำให้มีผู้สนใจเข้าไปร่วมลงทุนจำนวนมาก โดยผู้เสียหายในคดีนี้ถูกหลอกให้ร่วมลงทุนกว่า 5,000,000 บาท แต่หลังจากวงแชร์ล่ม ผู้บริหารบริษัทเริ่มถูกจับกุม จากนั้น ผู้ต้องหารายนี้ ได้เลิกอาชีพแม่ทีม และผันตัวมาเป็นเจ้าแม่สายบุญในปัจจุบัน ต่อมา ผู้เสียหายเข้าแจ้งความดำเนินคดีที่ สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี หลังจากไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ผู้ต้องหากล่าวอ้าง และไม่สามารถติดต่อผู้ต้องหาได้ จากนั้นได้มีการออกหมายเรียกเพื่อให้มารับทราบข้อกล่าวหา แต่ผู้ต้องหาไม่มาตามหมายเรียก จึงขออนุมัติศาลออกหมายจับ
ต่อมา ผู้การจ๋อ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. สั่งการให้ทีมงานสืบนครบาลลงพื้นที่สืบสวนหาข่าวจนได้ข้อมูลสำคัญว่า ผู้ต้องหามักไปทำบุญที่วัดทุกวันพระเป็นประจำ โดยมีการปรับเปลี่ยน “ทรงผม” อยู่บ่อยครั้ง เพื่ออำพรางตัวเองไม่ให้เป็นที่จดจำของเจ้าหน้าที่ ผู้การจ๋อจึงส่งตำรวจหญิงใส่ชุดขาวแฝงตัวเข้าร่วมการทำบุญและปฏิบัติธรรมในวัดดังย่านคลองหลวง ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 500 คน จนได้พบกับ น.ส.พิมพ์ประภัสสร ผู้ต้องหา ที่มีทรงผมใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้ น.ส.พิมพ์ประภัสสร ผู้ต้องหา ใส่วิกผมสีน้ำตาลติดโบสีขาวด้านหลัง แต่ก็ไม่สามารถตบตาตำรวจได้ จึงเฝ้ารอจนเสร็จสิ้นการปฏิบัติธรรมและจับกุมตัวได้คาวัดดังกล่าว
ในชั้นจับกุม น.ส.พิมพ์ประภัสสร ให้การปฏิเสธ โดยให้การว่าสิ่งที่ตนทำเป็นการลงทุนจริงๆไม่ได้เป็นการฉ้อโกง เพราะตนก็ได้เงินจริง ส่วนเรื่องที่เป็นคดีความเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2560 ตนได้รับการชักชวนจากคนรู้จักให้ร่วมลงทุนเกี่ยวกับการเทรดหุ้น ตนได้เงินจากการลงทุนจริง ได้ผลกำไรจากการลงทุนร้อยละ 7 ต่อเดือน เมื่อได้เงินจริง ตนก็เริ่มชักชวนคนรอบตัวมาร่วมลงทุนเพิ่ม โดยตนเองได้ไปถ่ายรูปร้านเพชรและกิจการที่จังหวัดเชียงใหม่ จนเกิดความน่าเชื่อถือ ทำให้มีคนสนใจมาลงทุนด้วยจำนวนมาก ต่อมา เมื่อปี 2561 บริษัทที่ลงทุนเริ่มประสบปัญหาในการจ่ายปันผล ไม่ได้เงินตามที่ลงทุนไป ทำให้ตนไม่ได้นำเงินไปจ่ายให้กับคนที่ตนชักชวนมาจึงเกิดคดีความขึ้น
และในส่วนของเรื่องการเปลี่ยนทรงผมบ่อย ตนให้การว่า ปัจจุบันตนมีผมสั้นเพราะเพิ่งสึกจากการบวชที่วัดแถวพิษณุโลก ทำให้ต้องใส่วิกผมยาวตอนออกไปวัดธรรมกาย ตนชอบการทำการทำบุญและปฏิบัติธรรมมาก เพราะให้จิตใจสงบ ส่วนการเปลี่ยนแปลงทรงผมบ่อยๆ นั้น เป็นเพราะว่าลูกชายให้เปลี่ยน เนื่องจากลูกชายได้รับไอเดียการเปลี่ยนแปลงทรงผมใหม่ๆ มาจากสื่อออนไลน์ ตนจึงได้เปลี่ยนตามเพราะลูกชอบ หลังจับกุมตัว ได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
Advertisement