วันนี้ (20 พ.ย. 67) ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษา คดีวางยาฆ่าผู้อื่นที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 และมารดาของ น.ส.ศิริพร หรือ ก้อย ผู้เสียชีวิตร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องพร้อมเรียกค่าเสียหาจจำนวน 30 ล้านบาท โดยมีนางสรารัตน์ หรือ “แอม ไซยาไนด์” จำเลยที่ 1 ในความผิดฐาน ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนฯ ส่วน พ.ต.ท.วิฑูรย์ อดีตสามี จำเลยที่ 2 และ น.ส.ธันย์นิชา หรือ ทนายพัช จำเลยที่ 3 ในความผิดฐาน ช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มิต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงและซ่อนเร้นทำลายหลักฐาน
โดย แม่ ของ น.ส.ศิริพร หรือ ก้อย เปิดเผยก่อนขึ้นศาลว่า วันนี้ตนมาเพื่อทวงขอความเป็นธรรมให้ลูก “ขอให้ชนะ ขอให้ความเป็นธรรม ให้มีผล“ ที่ผ่านมาไม่เคยลืม คิดถึงทุกคืนทุกวัน ตอนลูกอยู่ไม่เคยลําบาก แต่ตอนนี้ต้องแบกทุกอย่าง ส่วนเรื่องคดียังมั่นใจว่าเขาทําลูกแน่ๆ วันนี้ก็ขอให้เขาชดใช้และลูกต้องไม่ตายฟรีและขอฝากบอกถึงทุกคนด้วยว่าอย่าไว้ใจคนใกล้ตัว คบกันมานานไม่น่ามาทํากันแบบนี้
ด้าน ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ กล่าวว่า คดีนี้มีจุดบอดเรื่องเดียว คือไม่มีประจักษ์พยาน ซึ่งเป็นเรื่องเดียวที่ทนายฝั่งจําเลยใช้ในการต่อสู้คดีว่าไม่มีประจักษ์พยานเห็นขณะที่มีการวางยาพิษและมองว่าคดีมีข้อสงสัย อย่างไรก็ตามจากการสอบพยานเกือบ 90 ปาก 20 นัด
ตนยังเชื่อว่าพยานแวดล้อม พยานนิติวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ จะสามารถสอดคล้องต้องกันและสามารถเอาผิดจําเลยได้ และอีกเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อโจทก์คือจําเลยที่ 1 “แอม ไซยาไนด์” ปฏิเสธที่จะเบิกความต่อศาล ส่งผลให้ศาลต้องรับฟังจากพยานหลักฐานของโจทก์ในสํานวนและเชื่อตามนั้น ดังนั้นเมื่อไม่มีการหักล้าง ตนจึงเชื่อว่านํ้าหนักและหลักฐานต่างๆสามารถเอาผิดจําเลยได้
สําหรับวันนี้เป็นการพิพากษาคดีแรกจากทั้งหมด 15 คดี
Advertisement