(21 มี.ค. 2568) พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แถลงผลการจับกุมของกองบังคับการตำรวจสายตรวจปฏิบัติการพิเศษหรือ 191 3 คดีด้วยกัน
คดีแรก จับกุม นายพิทัก หรือ ทัก (สงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี พร้อมของกลาง
1. ไอซ์ 332 กิโลกรัม
2. คีตามีน 18 กิโลกรัม
3. รถยนต์ 2 คัน
4. รถจักรยานยนต์ 2 คัน
5. โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง
โดยจับกุมได้ที่บริเวณหน้าบ้าน หมู่ 5 ต.สวนแตง อ.เมืองสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 68 เวลาประมาณ 23.20 น.
โดยกล่าวหาผู้ต้องหาที่ 1 ว่า "ร่วมกันกับพวกที่หลบหนี ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษใน ประเภท 1 (ไอซ์หรือเมทแอมเฟตามีน) โดยมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า และก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป และจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ใน ประเภท 2 (คีตามีน) โดยมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน"
พฤติการณ์คือ ตำรวจชุดจับกุมได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า มีกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดพื้นที่ ต.สวนแตง อ.เมืองสุพรรณบุรี โดยไปรับยาเสพติด แล้วนำมาเก็บซุกซ่อนไว้บริเวณบ้านหลังหนึ่ง
ต่อมาวันที่ 19 มี.ค. ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 20.00 น. กลุ่มผู้ต้องหาขับรถยนต์จำนวน 3 คัน จากพื้นที่ ต.สวนแตง อ.เมืองสุพรรณบุรี ขับมุ่งหน้าไปพื้นที่ อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท แล้ว ยาเสพติดกลับมาพักไว้ที่บ้านพักในอำเภอเมืองสุพรรณบุรี โดยรถยนต์ทั้ง 3 คัน มีลักษณะขับตามกันเป็นขบวนโดยทิ้งระยะห่าง จึงเชื่อว่ากลุ่มเครือข่ายได้ลักลอบไปรับยาเสพติดแล้วกำลังนำกลับมาเก็บซุกซ่อนไว้บริเวณบ้านหลังดังกล่าว ตามพฤติกรรม
ตำรวจชุดจับกุมจึงได้เฝ้าสังเกต และสืบสวนมา จึงได้สะกดรอยติดตามมา กระทั้งเวลาประมาณ 23.20 น.ของวันเดียวกัน รถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ รุ่น mu-x สีขาว ขับเข้ามาจอดภายในที่จอดรถของบ้านหลังดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แสดงตัวขอตรวจค้นจับกุม นายพิทัก ส่วนกลุ่มเครือข่ายได้อาศัยความมืดและความชำนาญพื้นที่หลบหนีไปได้
การจับกุมครั้งนี้เป็นการขยายผลมาจากคดีเก่าที่เคยจับกุมก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นขบวนการค้ายาเสพติดใน จ.สุพรรณบุรี ที่รับยามาจากเครือข่ายทางภาคเหนือ จากนั้นจะนำยามาพักใน จ.สุพรรณบุรี เพื่อกระจายให้เอเย่นต์ในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีเอเย่นต์จากกรุงเทพมหานครมารับยาเสพติดไปจำหน่ายอีกทอดด้วย
จากการตรวจสอบไอซ์ของกลางพบว่ามีการบรรจุเป็นแพ็คเกจรูปแบบใหม่ คือ บรรจุในถุงชาสีชมพู ซึ่งปกติที่ผ่านมาจะใช้ถุงชาสีเขียวหรือไม่ก็สีเหลือง ส่วน นายพิทัก เป็นเอเย่นต์ขายส่งยาเสพติด ที่จะได้กำไรจากส่วนต่างการค้ายาเสพติด
อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธ อยู่ระหว่างขยายผลถึงผู้ ร่วมกระบวนการที่หลบหนีอีก 3 คน มาดำเนินคดีต่อไป
ส่วนคดีที่ 2 ตำรวจได้บุกทะลายโกดังบุหรี่ไฟฟ้าจากกลุ่มผู้ต้องหา 5 ราย รวมทั้งหมด 6 คน พร้อมของกลาง
1. หัวน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า 537 ชิ้น
2. เครื่องบุหรี่ไฟฟ้า 7,206 ชิ้น
3. น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า 74 ชิ้น
4. คอยล์บุหรี่ไฟฟ้า 54 ชิ้น
5. อุปกรณ์ประกอบแก๊สหัวเราะ ก๊าซไนตรัสออกไซด์ ขนาด 300 กรัม 29 กระบอก, ลูกโป่ง 60 ใบ, กระป๋องอัดแก๊ส 1 ใบจำนวน 90 อัน
การจับกุมครั้งนี้มีผู้ต้องหาอยู่ 1 คน ที่ขายเฉพาะพอตเค ซึ่งเป็นพนักงานสถานบันเทิงชื่อดังแห่งหนึ่งในย่านสุขุมวิท จะขายพอตเค ให้กับลูกค้าในสถานบันเทิง และขายให้ลูกค้าประจำ บริการส่งพัสดุ และเดลิเวอรี่ให้ถึงที่พัก
ส่วนของกลางพอตเคพบว่า มีทั้งนำเข้าจากประเทศอินโดนีเซีย และสิงคโปร์ อีกทั้งยังมีที่ผสมเองแล้วฉีดใส่หัวพอร์ต โดยผสมกับยาเสพติด หรือไม่ก็ผสมกับสารเอโทมีเดท (Etomidate) ซึ่งเป็นยาสลบสัตว์
โดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า "มีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าที่เป็นสินค้าที่มิได้เสียภาษีหรือเสียภาษีไม่ครบถ้วน (ม.203 (1) พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560)", "ช่วยซ่อนเร้นช่วยจำหน่าย ช่วยพาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของอันเนื่องด้วยความผิด (ม.246 พรบ.ศุลกากร พ.ศ. 2560)"
ขณะที่คดีที่ 3 จับกุมผู้ต้องหา 3 ราย รวม 5 คน พร้อมของกลาง
1. อาวุธปืนไม่มีทะเบียน 4 กระบอก
2. เครื่องกระสุน 19 นัด
โดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า "ร่วมกันจำหน่ายอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควรและโดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ โดยไม่ได้รับอนุญาต"
Advertisement