กรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ขอความช่วยเหลืออ้างว่าถูกหลอกไปทำงานที่จังหวัดสีหนุ ประเทศกัมพูชา โดยอยู่ในไชนาทาวน์ และกำลังจะถูกขายต่อ หากไม่นำเงินจำนวน 3,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 100,000 บาท มาไถ่ตัวออกไป นอกจากนี้ ยังอ้างอีกว่าพยายามติดต่อเจ้าหน้าที่หลายครั้งเพื่อขอกลับประเทศไทยแล้ว แต่ก็ไม่ถูกส่งตัวกลับ เนื่องจากนายจ้างเป็นคนจีนและจ่ายเงินใต้โต๊ะให้กับเจ้าหน้าที่
ล่าสุดวันที่ 18 ก.พ.65 เวลา 09.40 น. ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี วิดีโอคอลไปพูดคุยกับผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าว ซึ่งขังตัวเองอยู่ในห้องพร้อมกับคนไทย จำนวน 14 คน แบ่งเป็นผู้ชาย 5 คน และผู้หญิง 9 คน ส่วนอีกห้องเป็นคนไทย จำนวน 18 คน แบ่งเป็นผู้ชาย 7 คน และผู้หญิง 11 คน ขณะนี้ต้องใช้เตียงดันประตูเอาไว้เพื่อถังตัวเองและรอความช่วยเหลือ ไม่ให้นายจ้างเข้ามานำตัวไปขายต่อดังกล่าว โดยทั้งหมดไม่ได้กินข้าวมากว่า 2 วันแล้ว ได้แต่กินน้ำจากก็อกในห้องน้ำ
คนไทยที่อาศัยในจังหวัดสีหนุ เปิดเผยว่า ตนและเพื่อนรวม 3 คน ถูกหลอกมาทำงานตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 64 ในตอนนั้นหลงเชื่อใบประกาศรับสมัครงานเป็นแอดมินออนไลน์ ให้เงินเดือนมากถึง 30,000 บาท และมีสวัสดิการเป็นงานถูกกฎหมาย แต่เมื่อมาถึงที่จังหวัดสีหนุ พวกนายจ้างได้ยึดบัตรประชาชน และกลับไม่ได้ทำงานเป็นแอดมินตอบแชตลูกค้า แต่ให้ไปสร้างเฟซบุ๊กปลอม ไลน์ปลอม และไปหลอกคนไทยให้ลงทุน โดยคุยให้เหยื่อเชื่อใจหลอกให้โอนเงินมาให้ และจะโอนเงินกลับไปในจำนวนที่มากกว่าเดิม หลอกให้โอนมาเรื่อย ๆ ซึ่งก็มีเหยื่อเคยหลงเชื่อ และโอนเงินมาให้พวกตนถึงหลักล้านบาท
ทั้งนี้ ตนยอมรับว่าตนไม่อยากที่จะทำงานหลอกลวงคนไทยด้วยกัน ตนจึงแจ้งกับนายจ้างว่าต้องการกลับประเทศไทย แต่นายจ้างกลับขอค่าไถ่ตัวมากถึง 3,000 ดอลลาร์ ซึ่งตนก็ไม่มีเงินมากขนาดนั้น จึงพยายามแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อจะขอกลับประเทศไทย แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะนายจ้างไหวตัวทัน และกำลังจะขายพวกตนให้กับกลุ่มคนอื่น ๆ ซึ่งนายจ้างขังพวกตนอยู่ในห้องมากว่า 2 วันแล้ว แต่ก็มีคนของนายจ้างที่พยายามพังประตูเข้ามาตลอดเวลา ซึ่งคนที่พยายามพังประตูมีทั้งกระบองไฟฟ้าและปืน
นอกจากนี้ ตนไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของจังหวัดสีหนุ รู้เพียงว่าเป็นไชนาทาวน์ ย่านของคนจีนในประเทศกัมพูชา ตนถูกขังอยู่ในตึกซึ่งถูกขังอยู่ที่ชั้น 2 ตึก 15 แต่ไม่รู้ว่าตึกที่ถูกขังอยู่มีชื่อเรียกว่าอะไร อย่างไรก็ตาม ตนไม่รู้ว่าจะสามารถต้านไว้ได้นานแค่ไหน จึงอยากขอให้คนมาช่วยเหลืให้ได้เร็วที่สุด ซึ่งตอนนี้ตนไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้มาก แต่ถ้ากลับไปได้อย่างปลอดภัย ก็พร้อมที่จะให้ข้อมูลทุกอย่างกับทางการไทย
ต่อมาเวลา 10.30 น. คนไทยที่อาศัยในจังหวัดสีหนุ ได้วิดีโอคอลกลับมาหาทีมข่าวอีกครั้ง แต่ไม่สามารถพูดอะไรได้ โดยพยายามที่จะแจ้งข่าวว่า กำลังถูกนำตัวออกจากห้อง และลงมาข้างล่างตึกแล้ว เพราะถูกนำตัวมารวมกันเพื่อที่นำไปส่งที่ใดที่หนึ่ง เบื้องต้นต้องลบแชตและแอบโทรศัพท์ เพราะอาจจะถูกจับได้ว่าติดต่อขอความช่วยเหลือจากฝั่งไทย
หลังมีการแชร์ภาพและคลิปขอความช่วยเหลือที่ระบุว่า "ผมโดนหลอกมาทำงานอยู่ที่สีหนุ กัมพูชา ไชนาทาวน์ แต่พออยากจะกลับบ้าน หัวหน้าคนจีนบอกให้จ่าย 3,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1 แสนบาทไทยต่อคน แล้วถ้าไม่จ่ายเช้านี้ก็จะโดนขายต่อแล้วครับ ตอนนี้โดนกักขังอยู่ในห้อง ออกไปไหนไม่ได้ อดข้าวอดน้ำทั้งวัน แล้วยังไม่ได้กินอะไรกันเลยครับ ข้างหน้าห้องมียามถือทั้งกระบองไฟฟ้า และบางคน (หัวหน้ายาม) พกปืนทั้งวัน"
อย่างไรก็ตาม กอ.รมน.จันทบุรี ได้ลงพื้นที่มายังบ้านเลขที่ 187/1 หมู่ที่ 2 ตำบลทุ่งขนาน อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี หลังรับการร้องเรียนจากนางเลี่ยม นาทวี อายุ 55 ปี ยายของนายบอส อายุ 19 ปี หลังหลานชายถูกเพื่อนหลอกให้ไปทำงานในบ่อนในพื้นที่กัมพูชาโดยเข้าทางช่องทางธรรมชาติ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม 65
นางเลี่ยม จึงได้โทรศัพท์พูดคุยกับหลานชาย โดยนายบอส แจ้งว่าขณะนี้กำลังถูกส่งตัวเข้าไปพักในเมืองสีหนุ ย่านไซนาทาวน์ และนายจ้างชาวจีนให้ทำหน้าที่เป็นแอดมินหุ้นออนไลน์ โดยมีคนจีนยืนคุมตลอดเวลา ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคนไทย แต่จากนั้นถูกสั่งให้หยุดงานและนำตัวไปขังไว้ในห้องรวมกัน ไม่ให้ทานอาหารและน้ำ จึงพยายามโพสต์และส่งเรื่องออกไปในโลกออนไลน์เพื่อร้องขอกลับไทย ล่าสุดถูกช่วยออกมาได้ปลอดภัยพร้อมเพื่อน ๆ คนไทย ก่อนจะนำตัวส่งไปยังสถานีตำรวจในเมืองสีหนุ เพื่อทำประวัติและสอบสวนโรคแล้ว
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่ซอยสายไหม 38 เขตสายไหม กทม. เพื่อไปพูดคุยนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ช่วย ส.ส.เขตสายไหม กล่าวว่า ตนได้ประสานหลายหน่วยงานเพื่อเข้าช่วยเหลือกลุ่มคนไทยในเมืองสีหนุ ประเทศกัมพูชา ความคืบหน้าล่าสุดทราบว่าเจ้าหน้าที่ได้เข้าช่วยเหลือคนไทยทั้ง 38 คนแล้ว และได้พาตัวไปสอบปากคำที่โรงพักสีหนุ รวมถึงมีการตรวจโควิด-19 และหากไม่ติดโควิด-19 เจ้าหน้าที่ก็จะผลักดันกลับประเทศไทย ภายใน 1-2 วัน
สำหรับการช่วยเหลือในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นผลงานของแฟนเพจ สายไหมต้องรอด แต่ทุกหน่วยงาน ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการกงสุลกระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูตไทยในกัมพูชา ที่ช่วยกันประสานตำรวจกัมพูชาให้เข้าช่วยเหลือคนไทยร้องขออยากจะกลับไทย เพราะเมืองสีหนุ ประเทศกัมพูชา เป็นเมืองที่ชาวจีนเข้าไปอยู่และมีอิทธิพลมาก ๆ เป็นเมืองที่อันตราย ผู้หญิงไทยและเวียดนามหลายคนที่ถูกหลอกไปค่าประเวณี บ้างก็ถูกฆ่าจับโยนทะเล ส่วนบางคนที่ไปทำงานจำพวกแอดมิน แต่ไม่ยอมทำต่อ นายจ้างก็จะขายต่อ โดยผู้หญิงจะขายให้ค้าประเวณี ส่วนผู้ชายจะถูกขายไปเป็นแรงงานประมง
ทั้งนี้ ตนยอมรับว่าการกระทำของคนไทยกลุ่มนี้ที่โพสต์ลงเฟซบุ๊ก ถือเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ๆ มีโอกาสรอดและตายเท่ากัน 50:50 เพราะถ้าฝั่งนายจ้างเห็นโพสต์ก่อน ก็อาจจะทำร้ายหรือเคลื่อนย้ายกลุ่มคนไทยไปอยู่ที่อื่น ๆ จนไม่สามารถช่วยเหลือได้ ตนจึงอยากที่จะเตือนไปยังคนที่หลงเชื่อการชักชวนไปทำงานแอดมินในประเทศเพื่อนบ้าน ว่างานดังกล่าวกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นงานที่หลอกลวงและผิดกฎหมายทั้งสิ้น มีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่เป็นงานถูกกฎหมายจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีหน่วยงานที่ดูแล และรับผิดชอบในการช่วยเหลือคนไทยที่ติดอยู่ต่างประเทศโดยตรง มีเพียงสถานทูต ซึ่งขั้นตอนก็เยอะ อาจจะใช้เวลานานในการประสาน จึงอาจจะไม่ทันถ้วงที ตนจึงอยากเสนอให้ทางภาครัฐมีหน่วยงานที่รับผิดชอบช่วยเหลือเรื่องนี้โดยตรง
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายเด่น สำเภาวิจิตร พ่อของน้องครีม หนึ่งใน 38 คนไทยที่ถูกหลอกไปทำงานในกัมพูชา ให้สัมภาษณ์ว่า ตนเพิ่งทราบข่าวเมื่อคืน (17 ก.พ.65) ที่ผ่านมา ลูกสาวโทรศัพท์มาบอกว่าถูกกักขังอยู่ในห้องแห่งหนึ่งในเมืองสีหนุ ไม่มีน้ำและอาหาร ตนจึงรู้สึกเป็นห่วงลูกสาวมาก ๆ แต่ก่อนไปทำงานที่กัมพูชาตนไม่เคยทราบว่าลูกจะไป กระทั่งมาทราบว่าเขาก็ข้ามไปตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน 64 ขณะนั้นลูกสาวโทรศัพท์มาบอกว่าได้งานทำดี พร้อมกับวิดีโอคอลให้ดูที่พักว่าอยู่อย่างสุขสบาย ตนก็ไม่ได้ห่วงอะไร หลังจากทราบข่าวว่ามีหน่วยงานให้การช่วยเหลือแล้วก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาตนภาวนากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอดว่าขอให้ลูกสาวปลอดภัย
