กมธ.กำหนดคุณสมบัติผู้ทำธุรกิจกัญชา ต้องมีสัญชาติไทย อายุ 20 ปี ไม่เคยติดคุกคดียาเสพติด หากพ้นโทษแล้ว 3 ปี สามารถมาประกอบธุรกิจกัญชาได้
วันที่ 24 มิ.ย.65 ที่รัฐสภา นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชา กัญชง พ.ศ. .... สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึง ผลการประชุมของ กมธ. ว่า ที่ประชุม กมธ.มีความห่วงใยในเรื่องของการเข้าถึงกัญชาของเด็กและเยาวชน โดยจะวางแนวทางร่างกฎหมายมุ่งให้การคุ้มครองเยาวชน พร้อมฝากขอให้สื่อมวลชนระมัดระวังการนำเสนอข่าวในเรื่องดังกล่าว
เนื่องจากในระหว่างการรวบรวมผลกระทบทั้งทางด้านบวกและข้อควรระวังต่างๆ จำเป็นจะต้องอยู่บนฐานของข้อเท็จจริง อาทิ กรณีที่มีผู้เสียชีวิตและมีการนำเสนอข่าวว่าสาเหตุมาจากกัญชา แต่เมื่อตรวจสอบผลเลือดแล้วไม่พบสาร THC ซึ่งเป็นสารที่มาจากกัญชา หรือ การอาศัยช่วงสุญญากาศขณะนี้กล่าวโทษกัญชา เพราะเห็นว่าจะไม่เป็นยาเสพติด
ทั้งที่มีการเสพยาชนิดอื่น อาจจะทำให้การนำเสนอข่าวนั้นได้ถูกบิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง จึงจำเป็นจะต้องช่วยกันตรวจสอบและนำเสนอข้อเท็จจริงให้ประชาชนมีความเข้าใจ นอกจากนี้ กมธ.ยังได้เชิญผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อมาให้ข้อมูลก่อนแสดงความเห็นต่อคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ เนื่องจากไทยอยู่ภายใต้อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 ว่าไทยจะมีวิธีการดูแลเรื่องปัญหายาเสพติด รวมถึงมาตรการปลดล็อกกัญชา อย่างไร ทั้งนี้ที่ประชุมเห็นว่า จะใช้รูปแบบในต่างประเทศในการดูแลประชาชนในการใช้กัญชาอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับบริบทไทย
นายปานเทพ กล่าวว่า กมธ. ยังได้พิจารณาสาระสำคัญและเห็นพ้องกันในการบรรจุคุณสมบัติผู้ขออนุญาตในการทำธุรกิจเกี่ยวกับกัญชา ไม่ว่าจะเป็นจำหน่ายผลิตนำเข้า ส่งออก ขาย โดยเบื้องต้นกำหนดว่า
บุคคลธรรมดาทั่วไป ต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย มีถิ่นที่อยู่อาศัยในประเทศไทย อายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต ไร้ความสามารถ ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย ไม่เคยต้องคำพิพากษาจำคุกคดีความผิดเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ยกเว้นมีบทเฉพาะกาลให้ไว้เกี่ยวกับความผิดกัญชา กัญชงและกระท่อมในอดีต และยังเปิดช่องให้กับผู้เคยเสพยาเสพติดหรือกระทำความผิดได้กลับมาเป็นพลเมืองดี หากพ้นโทษแล้ว 3 ปี สามารถมาประกอบธุรกิจกัญชาได้
นิติบุคคล มีลักษณะคล้ายกับหลักการของบุคคลธรรมดาทั่วไป แต่ผู้แทนนิติบุคคลจะต้องเป็นคนไทย คือ มีสัญชาติไทย และกรรมการนิติบุคคล หรือ ผู้ถือหุ้นอย่างน้อย 2 ใน 3 จะต้องมีสัญชาติไทยและมีสำนักงานอยู่ในประเทศไทย ส่วนกรณีวิสาหกิจชุมชนที่ไม่เป็นนิติบุคคล ก็สามารถเป็นผู้ขออนุญาตได้เช่นเดียวกัน หรือ กรณีของหน่วยงานรัฐก็ได้ ซึ่งการกำหนดคุณสมบัติดังกล่าวเป็นไปเพื่อป้องกันการกีดกันการทำธุรกิจกัญชา ต้องการให้ประชาชนได้ประโยชน์ เข้าถึงง่าย ไม่ได้เอื้อต่อเครือข่ายธุรกิจนายทุน แต่ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวม