รู้จัก "ลุงศักดินา" หรือ "นายวีรวิทย์ รุ่งเรืองศิริผล" เจ้าของฮุกขวาใส่ "ศรีสุวรรณ" อดีตเจ้าของธุรกิจส่งออกเสื้อผ้าผู้ถูกฟ้องล้มละลาย
จากกรณีที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ถูก ชายปริศนา ฉกตรงเข้าที่ใบหน้า ขณะเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เพื่อร้องเรียน ให้ตรวจสอบเดี่ยว 13 ของ “โน้ส อุดม” ว่าเข้าข่ายยุยงกระทำความผิดหรือไม่
โดยหลังเกิดเหตุ ชายปริศนา ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงเหตุผลที่ฝ่าวงล้อมสื่อเข้าทำร้ายร่างกาย นายศรีสุวรรณ จรรยา ว่า "ตนคาใจหลังจากที่ ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย 8 ปี ของนายกรัฐมนตรีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ต่อมานายศรีสุวรรณ ออกมาประกาศว่า ใครชุมนุมจะแจ้งจับ อีกทั้งยังรุบะว่า ตนเป็นหนึ่งในผู้ชุมนุม และในวันนี้ ตนตั้งใจเข้ามาตบเพื่อสั่งสอน" ก่อนจะบอกว่าชื่อของตนคือ "นายวีรวิทย์ รุ่งเรืองศิริผล"
สำหรับ นายวีรวิทย์ รุ่งเรืองศิริผล หรือ ลุงศักดินา อายุ 62 ปี ผู้ชุมนุมคณะราษฎร และอดีตผู้ชุมนุมเสื้อแดงปี 53 เจ้าของช่องยูทูป ชื่อว่า "ศักดินาเสื้อแดง" เคยร่วมชุมนุมต่อต้านรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์อยู่หลายครั้ง อีกทั้งยังเคยมีวีรกรรมในลักษณะที่คล้ายกันมาแล้ว โดยเจ้าตัวได้โพสต์คลิปเหตุการณ์เอาไว้ในช่องยูทูปของตัวเองโดยระบุว่า "ลุงศักดินาทำตามสัญญาแล้วตบไอ้โบ้วันนี้"
สำหรับคลิปดังกล่าวของ "ลุงศักดินา" เป็นเหตุการณ์ในวันที่ 19 ตุลาคม 2564 ซึ่งได้มีการชุมนุมของกลุ่มแรงงานโรงงานผลิตชุดชั้นใน ที่ด้านหน้า ทำเนียบรัฐบาล นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และ "นายเสกสกล อัตถาวงศ์" ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี(ตำแหน่งขณะนั้น) ได้เชิญแกนนำมาร่วมพูดคุยหาทางอออก "นายวีรวิทย์" ได้บอกผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงว่า "ขอให้รอดู ถ้าเจอแรมโบ้ จะตบให้ดู เพราะทำให้คนอีสานต้องเสื่อมเสีย จากพฤติกรรมเป็นคนเสื้อแดงกลับใจ" จนกระทั่ง "นายเสกสกล" เดินลงมาพร้อมคณะ จึงได้เรียก "แรมโบ้อีสาน" มาแล้วตบศีรษะไป 4 ครั้ง ก่อนที่"นายเสกสกล" ต่อยหน้ากลับจนเกิดชุลมุน
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2565 ศาลแขวงดุสิตนัดอ่านคำพิพากษาในคดีของ “ศักดิ์” หรือ นายวีรวิทย์ รุ่งเรืองศิริผล อดีตผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงวัย 62 ปี โดยถูกกล่าวหาว่า ฝ่าฝืนข้อกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง (ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร้ายแรง) ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร จากการเข้าร่วมการชุมนุมเมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2563 บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
คดีนี้ ศาลยกฟ้อง “วีรวิทย์” ระบุชุมนุมโดยสงบ ไม่มีอาวุธ เป็นสิทธิเสรีภาพที่ถูกรับรองไว้ตามรัฐธรรมนูญ ถึงแม้ในวันเวลาเกิดเหตุ คดีนี้อยู่ระหว่างการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ห้ามไม่ให้มีการชุมนุมที่มีการมั่วสุมเกินกว่า 5 คนขึ้นไป
หลังจากศาลพิพากษายกฟ้อง วีรวิชญ์ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ประกอบอาชีพเป็นดีไซเนอร์ ทำธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับการออกแบบตัดเย็บเสื้อผ้าและส่งออกไปยังต่างประเทศ ด้านการเงินถือว่ามีฐานะมั่นคง แต่เมื่อประเทศเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การบริหารภายใต้รัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ไม่สามารถจัดการกับโรคระบาดโควิด-19 ได้ดีเท่าที่ควรเป็น และไม่สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาดีดังเดิมได้ จากการบริหารงานที่ล้มเหลวดังกล่าวทำให้ธุรกิจส่วนตัวของเขาได้รับผลกระทบขนาดหนัก ถึงขนาดกับถูกฟ้องล้มละลาย โดยประเมินเป็นความเสียหายมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท
นายวีรวิชญ์ อดีตเสื้อแดงที่ออกมาต่อสู้ทางการเมืองตั้งแต่ ปี 2549 ตัดสินใจถนนอีกครั้งเพื่อเรียกร้องให้ประยุทธ์ลาออก รวมถึงเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาปากท้องและปัญหาอื่นๆ อีกหลายข้อด้วยกัน จนนำมาซึ่งการถูกดำเนินคดีมากกว่าทางการเมืองรวมทั้งสิ้น 13 คดี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้อกล่าวหา ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อาทิ คดีจากการชุมนุม , ม็อบ17พฤศจิกา63 “กูสั่งให้มึงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ”, ม็อบ14พฤศจิกา64 ต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และ ม็อบ9กุมภา64 เรียกร้องให้ปล่อยตัว 4 แกนนำราษฎร เป็นต้น
วีรวิชญ์ยังเล่าอีกว่า จากคำพิพากษายกฟ้องวันนี้ได้สะท้อนให้เห็นแล้วว่า เจ้าหน้าที่รัฐไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างถี่ถ้วนก่อนจะดำเนินคดีกับประชาชน การทำงานของพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการในคดีการเมืองนั้นมีปัญหา เป็นเพียงการกลั่นแกล้งทางการเมืองกับผู้ซึ่งเป็นศัตรูของรัฐบาลเพื่อบั่นทอนทรัพยากรให้อ่อนล้าไปในวังวนของกระบวนการยุติธรรม ทำให้ประชาชนอย่างเขาเสียเวลาไปนานกว่า 2 ปีโดยไร้ค่า
ตลอดเส้นทางของการต่อสู้คดีของ นายวีรวิทย์ ต้องประสบปัญหาอีกไม่ถ้วน อาทิ ปัญหาความไม่เข้าใจกันในครอบครัว สูญเสียรายได้ ฯลฯ ซึ่งแม้ศาลจะยกฟ้องไปแล้ว แต่รัฐก็ไม่ได้แสดงความรับผิดชอบและมีมาตรการเยียวยาใดๆ เลยกับสิ่งที่เขาถูกกระทำ
Advertisement