“เรืองไกร” จี้ กกต. ยุบ “พรรคก้าวไกล” หลังศาลรัฐธรรมนูญชี้มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง ขู่คิวต่อไป “พรรคเพื่อไทย” ด้าน “ตะวัน-แบม” โผล่ทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ ขอเปาบุ้นจิ้น นำตัวเอง”ประหาร”แทนเพื่อนในคุก
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เดินทางยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อให้คณะกรรมการเลือกตั้งใช้อำนาจตามมาตรา 92 ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ในการส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล หลังเมื่อวานนี้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง จากการเสนอแก้ไขมาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง
นายเรืองไกร เปิดเผยว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามคำร้องมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญ แล้วเห็นว่านายพิธา และพรรก้าวไกล ใช้สิทธิและเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครอง กฎหมายจึงบังคับให้ศาลฯ สั่งให้ผู้ถูกร้องยุติพฤติกรรม โดยสั่งห้ามยกเลิกมาตรา 112 ส่วนการแก้ไขเพิ่มเติ่มมาตรา 112 หรือกฎหมายใดก็ตาม เป็นอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ต้องเป็นไปโดยชอบ
ทั้งนี้ การมีพฤติกรรมเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ถูกระบุไว้ในมาตรา 92(1) ในขณะที่ 92(2) กำหนดว่าหากมีพฤติกรรมอาจจะเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นเด็ดขาดจึงมีผลผูกพันทุกองค์กร รวมถึง กกต. แบะรัฐสภา จะไม่สามารถดำเนินการประชุมใด ๆ ได้ หากมีความผิดละเมิดมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ
ตนเองจึงเดินทางมา กกต. เพื่อให้นำผลวินิจฉัยเมื่อวานนี้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 92 (1) และ (2) เพื่อให้พิจารณาวินิจฉัยว่าจะต้องยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคหรือไม่ พร้อมแนบคำร้องที่ตนเองเคยยื่นเอาไว้ เมื่อวันที่ 3 เม.ย.และวันที่ 30 มิ.ย.2566 รวมถึงคำร้องที่เคยร้อง ปปช. ในปี 2564 แนบมาด้วยอีก 20 แผ่น
โดยนายเรืองไกรยืนยันว่า ผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวานนี้ กกต. จะอยู่เฉยไม่ได้ รวมถึง ปปช. ด้วย เพราะตนเคยยื่นร้อง สส.44 คน ที่เข้าชื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 / ขณะที่รัฐสภา หากมีการเสนอญัตติหรืออภิปราย เกี่ยวกับสถาบันฯ ซึ่งข้อบังคับห้ามอยู่แล้ว ในทางใด ๆ ประธานสภาฯ จะต้องยึดถือแนวทางที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้
ทั้งนี้นายเรืองไกร ยังเปิดเผยว่า อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลของพรรคการเมืองอื่น ๆ รวมถึงพรรเพื่อไทย ซึ่งจะเป็นคิวต่อไป ไม่ว่าจะนายเศรษฐา ทวีสิน ,นางสาว แพทองธาร ชินวัตร ที่เคยพูดไว้ตอนหาเสียงเลือกตั้ง หากพบว่าเข้าเกณฑ์ความผิดตามกฎหมาย ก็จะยื่นตรวจสอบ ไม่ใช่เรื่องยาก
โดยระหว่างที่นายเรืองไกรกำลังให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ปรากฎว่า น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน และ น.ส.อรวรรณ ภู่พงษ์ หรือแบม ได้เดินทางมายังบริเวณหน้สำนักงานกกต. โดยสวมเสื้อสีขาว ที่คอทั้งคู่มีเชือกมัดคล้องคอ และมือไว้ด้วยกัน ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พยายามเข้ามาตรึงกำลัง และกันไม่ให้ทั้งคู่เข้าไปยังวงสัมภาษณ์ของนายเรืองไกร
โดยก่อนจะทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ ขอให้ศาลนำตัวไปประหารเนื่องจากมีมีความผิด ที่ได้ทำการล้มล้างการปกครองด้วยโพลและสติกเกอร์ ซึ่งนายพิธาเคยร่วมติดสติกเกอร์สนับสนุนการยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งขณะนี้มีเพื่อนของเราอยู่ในคุกเราเลวกว่าพวกเขามาก เพราะเราได้ทำการล้มล้างการปกครอง ขอให้ประหารเราแทนพวกเขาและปล่อยพวกเขาออกมา นอกจากนี้ยังมีบุ้ง เนติพร หรือ บุ้งทะลุวัง ที่ประท้วงอดอาหารในคุกด้วย ได้โปรดจับเราไป พร้อมกับของกลางที่รุนแรงและร้ายแรง เอาเราไปทำร้าย ล่าแม่มดบอกว่าเราเป็นเด็กเปรตเด็กเลวระยำเพราะเราสำนึกแล้วที่ใช้สิ่งนี้ทำให้ประเทศล้มล้างการปกครองและล่มจม
จากนั้นแบมและตะวัน ได้ร่วมกันเขียนข้อความและอ่านชื่อบุคคลที่ถูกจำคุกในคดีมาตรา 112
”หากท่าน เปา บุน จิ้น จะเอ่ยนามของเราทั้งสองคน เพราะเราได้ทำผิดเอาไว้อย่างมาก ฉะนั้นหญิงสาวทั้งสองคนที่ใช้โพลอันนี้เป็นอาวุธที่ร้ายแรง กระดาษแผ่นนี้ สามารถล้มล้างการปกครองของประเทศนี้ได้ ทำให้ประเทศนี้ล่มจม กระดาษและสติกเกอร์ เพียงราคาไม่กี่บาท พวกเรารู้สึกผิดไปแล้วที่ทำให้ประเทศนี้ถูกล้มล้างการปกครอง ได้โปรดประหารเราแทนเพื่อนทั้งหลาย“
นายเรืองไกรกล่าวว่า คำร้องที่ยื่นต่อศาลเมื่อวานไม่ใช่คำร้องยุบพรรคตามกฎหมายพรรคการเมือง เป็นเพียงคำร้องให้ยุติการกระทำจึงต้องมายื่นวันนี้ซ้ำอีกครั้ง โดยอำนาจยุบพรรคทุกอย่างจะไปจบที่ศาล หน่วยงานเจ้าหน้าที่รัฐมีหน้าที่นำส่ง ส่วนเรามีหน้าที่เป็นคนร้อง และผู้ถูกร้องมีหน้าที่แก้ข้อกล่าวหา
ส่วนกรณีที่เกิดกับนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กร รักชาติรักแผ่นดิน มีความกังวลหรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า ศรีสุวรรณ กับ เรืองไกรเป็นคนละชื่อ เราทำมานานแล้วอยู่บนหลักกฎหมายข้อเท็จจริง ส่วนใหญ่ฟ้องมาหลายคดีก็ชนะทุกคดีเพราะศาลรับฟัง เราไม่เข้าข่ายหมิ่นประมาท ไม่เอาข้อความเป็นเท็จไปแจ้งเจ้าพนักงาน ส่วนที่แฟนคลับพรรคก้าวไกลที่ไม่พอใจเพราะว่าไม่ถูกใจ แต่เชื่อว่าหากพรรคก้าวไกลถูกยุบจริง ๆ จะไม่ทำให้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง ถ้าหากเคารพกติกา โดยได้ยกตัวอย่างกรณีของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ที่ให้พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีกรณีถือหุ้นบุรีเจริญ ได้ลาออกจากเลขาธิการพรรคและ สส.ว่าเป็นการถ่วงดุลซึ่งกันและกัน และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ตัดสิน วันนี้ประชาชนมีตัวเลือกใหม่มีความหวังกับอนาคตใหม่ มีความหวังกับก้าวไกลได้ สส.มา 151 คน เป็นเรื่องที่ดี แต่การได้มาจากประชาชนไม่ได้หมายความว่าคุณมีสิทธิเสรีภาพทุกเรื่อง และในสมัยหน้า สว.ก็ไม่มีสิทธิในการเลือกนายกรัฐมนตรี
ส่วนหากพรรคก้าวไกลโดนยุบพรรค นายเรืองไกรกล่าวว่า ไม่เป็นไร ก็ตั้งพรรคใหม่ ทั้งนี้เชื่อว่าไม่เป็นการสร้างความขัดแย้งทางการเมือง พรรคก้าวไกลก็ต้องหาคะแนนเสียงใหม่และนำเรื่องนี้เป็นบทเรียน อย่งไรก็ตามมั่นใจว่า เกิน 90 เปอร์เซ็นต์ พรรคก้าวไกลโดนยุบพรรคแน่นอน โดยวันนี้ได้ยื่น รายชื่อ 44 สส. พรรคก้าวไกล ที่ลงชื่อในการแก้ไข มาตรา 112 ด้วย