"สุดารัตน์" แจงถูกบีบออกพท. เปรียบตัวเองเหมือนเป็นวัสดุสิ้นเปลืองที่ใช้แล้วหมดไป แต่ยังปรารถนาดีต่อ "ทักษิณ" เชื่อพท.ไม่ขับ "เฉลิม" พ้นพรรค
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ให้สัมภาษณ์อมรินทร์ออนไลน์ ถึงการออกมาระบุว่า รู้สึกอายที่บ้านหลังเก่าไม่สามารถบริหารได้ดีเท่าสมัยพรรคไทยรักไทยว่า
ในสมัยไทยรักไทย มีคนมากความสามารถเยอะมาก แต่ปัจจุบันคนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ที่พรรคเพื่อไทยแล้ว หลายคนออกไปแล้ว ซึ่งจะเหลือคนไทยรักไทยระดับรัฐมนตรี คือกลุ่มที่เป็นพนักงานประจำของครอบครัวอดีตนายกฯทักษิณ และกลุ่มทุนที่เคยอยู่ด้วยกันและกลับเข้าไปใหม่ ซึ่งมองว่าเป็นการเสียคนทำงานไปเยอะ ดังนั้นสิ่งที่ประชาชนสะท้อน จนออกกระแสเปรียบเทียบระหว่างนายเศรษฐา บริหารงานแผ่นดินแต่กลับคิดถึงพลเอกประยุทธ์ ด้วยความที่เราเป็นศิษย์เก่าและเป็นคนไทย เราลงพื้นที่มาเยอะรู้สึกเห็นใจประชาชนที่อยู่ในห้วงยากลำบากที่สุด แต่เสียงเขาเบาที่สุด ปัญหาปากท้องหนี้สินรายได้น้อยกว่ารายจ่ายกลับไม่ถูกแก้ไข และผิดหวังกับการทำงานของรัฐบาลในห้วงหนึ่งปีและเสียดายเวลาที่ผ่านมา นอกจากนี้ในฐานะศิษย์เก่าไม่อยากให้สถาบันที่เราเคยอยู่ถูกมองว่าผลงานแย่ลง
สำหรับการตัดสินใจออกจากพรรคเพื่อไทยนั้น สาเหตุมาจากอะไรกันแน่ ถูกบีบให้ออกหรือออกมาเอง คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ห้วงเวลานั้นตนแทบจะไม่ได้ย้ายพรรค ตนเกิดจากพรรคพลังธรรม ของนายจำลอง ศรีเมือง และในตอนนั้นมีการทาบทามคนเพื่อหาคลื่นลูกที่ 3 มาต่อเวฟ ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ นักการเงิน แต่ไม่มา และตนที่พาคุณแม่ไปทานอาหารที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งและได้เจอนายทักษิณ และภรรยา ที่ขณะนั้นยังไม่ได้เข้าสู่การเมืองอยู่เป็นประจำหลายครั้ง และที่พูดคุยกันท่านก็ชอบการเมือง ตนจึงได้เสนอไอเดียให้ไปลองชวนนายทักษิณ ซึ่งเขาเก่ง และเป็นนักธุรกิจ ยิงดาวเทียม และนายจำลองได้พูดคุยกับนายทักษิณโดยตรงเพื่อให้นายทักษิณมาช่วยให้พลังธรรมเดินหน้าต่อ ซึ่งขณะนั้นตนเป็นเลขาธิการพรรค จึงมีโอกาสได้ช่วยงานใกล้ชิด ซึ่งตนมีแต่ความหวังดีความปรารถนาดีตลอดตลอดระยะเวลา17 ปี ตนถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปีและเว้นวรรคเองอีก 5 ปี จนมาถึงรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ไม่ได้เข้ามา ซึ่งตลอดเวลาที่ตนจะทำให้กับนายทักษิณ เบาแรงเบาตัวและสามารถแก้ไขสิ่งที่ถูกกล่าวหาต่างๆได้ตนทำเต็มที่ โดยปรารถนาที่อยากจะเห็นท่านกลับมาบ้านและคืนความยุติธรรม ซึ่งวันนี้ก็ได้กลับบ้านและคืนความยุติธรรม ซึ่งตนรู้สึกยินดีปรีดาด้วย
แต่ในทางการเมือง เมื่อถามว่าคิดยังไง และออกมายังไง ขณะนั้นตนยากลำบากมาก เพราะตอนเข้าไปพรรคเพื่อไทยไม่ใช่ตนเพียงแค่คนเดียว ได้รับการขอร้องจากทั้งนายทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ซึ่งไม่ได้ขอร้องเฉพาะตน แต่ขอร้องทั้งหมดที่เข้าไปพร้อมกัน เพราะขณะนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพิ่งโดนคดีออกนอกประเทศ โดยมีการระบุว่าทางครอบครัวชินวัตรมีความลำบาก จึงอยากให้มืออาชีพเข้ามาช่วยกัน ซึ่งหลังจากขอร้องและพูดคุยกันหลายรอบพรรคพวกบอก ขณะนั้นเหมือนพรรคเพื่อไทยหัวขาดและนายทักษิณไม่อยากเอาคนในครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้อง เราทั้งหมดจึงเข้าไปพร้อมกันและกลายเป็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย แต่เมื่อเขาไปทำงานกันแล้ว แม้นายทักษิณจะไฟเขียว แต่การทำงานยากมาก ไม่ได้รับความร่วมมือในการทำงาน และที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีข่าวตนออกมาอยู่ตลอด และท้ายที่สุดถูกกล่าวหา ว่าการแก้รัฐธรรมนูญซึ่งมีการหาเสียงตั้ง ส.ส.ร. ซึ่งตนได้สอบถามนายทักษิณ ซึ่งไฟเขียวให้ทำ แต่เมื่อเราทำกับคนกลุ่มหนึ่งได้ออกมาพูดว่าทำแบบนี้ เนื่องจากต้องการต่ออายุให้พลเอกประยุทธ์ และไม่ต้องการให้นายทักษิณกลับประเทศ และบางเรื่องก็ไม่สามารถพูดได้ เพราะโดนอีกหลายข้อหาในลักษณะการไปต่ออายุให้พลเอกประยุทธ์ ซึ่งยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะตนเป็นคนปราศรัยมากที่สุด ซึ่งตนรู้แล้วว่าอาจมีการเปลี่ยนแผน หากพูดกับตนตรงๆก็ได้ เมื่อตนเริ่มรู้เรื่องดังกล่าวก็เริ่มทยอยเก็บของและรู้ว่าต้องยุติบทบาท แต่ยืนยันว่าตนไม่ทุกข์เพราะรู้อยู่แล้ว และเมื่อท้ายที่สุดโดนบีบมากก็ตัดสินใจลาออก โดยบอกกรรมการยุทธศาสตร์พรรคทุกคน
"ยืนยันว่าเป็นการถูกให้ออก เพราะมีการเปลี่ยนแผนและมีการดีลกันตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งหากบอกตนตรงๆก็โอเค เพราะความปรารถนา ไม่ต้องมาเสียเวลาทำมาหากิน มานั่งคิดช่วยนายทักษิณมา 10 กว่าปี ซึ่งช่วยได้นิดช่วยได้หน่อยถือว่าเป็นแรงมด เพราะเราไม่ใช่ช้าง แต่ยืนยันว่ามีความปรารถนาดีให้โดยตลอด จนถึงวันนี้ก็เป็นเช่นนั้น แล้วตอนนั้นที่ออกมาไม่มีความคิดที่จะทำพรรคการเมือง แต่เมื่อมีคนออกตามมาเยอะจึงได้มาสร้างกระต๊อบเล็กๆ เพื่อให้เพื่อนได้มีที่อยู่ ซึ่งตัวของตนเองไม่เอาอะไรสส.ไม่เป็น ยิ่งรัฐมนตรีไม่เอา ซึ่งจะเห็นได้ว่าตนทำตามทุกคำพูด และหลังจากเลือกตั้งเสร็จตนก็ลาออกจากการการเป็นสส.เปิดโอกาสให้คนอื่น"
ส่วนที่บอกว่าคิดถูกหรือคิดผิด คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุว่า หลังจากมีตระบัดสัตย์ข้ามขั้ว เพราะหากวันนั้นตนอยู่ตรงนั้นเกิดทัดทานไม่ได้ และมีการข้ามขั้วขึ้นมา และผิดคำพูดกับประชาชนที่เราเคยให้คำมั่นสัญญา ซึ่งตนมาจากพรรคพลังธรรม ซึ่งเราใช้คำว่าสัญญาประชาคม ตนคงอยู่ไม่ได้อยู่ดี และหากออกตอนนั้นก็ไม่รู้จะทันหรือไม่ จะกลายเป็นทิ้งเพื่อนหรือไม่ หรือประชาชนจะมองว่าเมื่อพลาดแล้วค่อยมาลาออก ซึ่งตนมองว่าจะมีแต่ผลเสียมากกว่า และตนถือว่าโชคดีที่ออกมาก่อน แต่ยืนยันว่าไม่ใช่คนอาฆาตมาดร้าย เพราะหากให้ตนพูดคงจะยิ่งกว่านายจตุพร พรหมพันธ์ หรือ ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง และยอมรับตามตรงว่าถูกบีบให้ออก
คุณหญิงสุดารัตน์ ยังกล่าวถึงกรณีข้อพิพาทระหว่างร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง และพรรคเพื่อไทย มีความคล้ายคลึงกับกรณีของตนเองหรือไม่ และท้ายที่สุดจะมีการขับออกจากพรรคหรือไม่ ว่าตนเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยไม่ขับร้อยตำรวจเอกเฉลิม ออกจากพรรค และเชื่อว่าร้อยตำรวจเอกเฉลิม สามารถที่จะออกมาประ ฉะ ดะ ต่อได้ ขึ้นอยู่ว่าเขาจะทำหรือไม่ ถามว่าการต่อสายอาจจะมี เพราะร้อยตำรวจเอกเอกเฉลิม เป็นคนหนึ่งที่รู้ความลับหลายอย่าง คงไม่อยากเสี่ยงที่จะเผชิญหน้า
ส่วนประเด็นมีส่วนคล้ายคลึงกับตนเองหรือไม่นั้น ตนคิดว่าร้อยตำรวจเอกเฉลิม และตนไม่ใช่ 2 คนแรกที่โดนในลักษณะนี้ ”ขอย้ำว่าอยากเปรียบเทียบตนเอง ว่าตนเองนั้นเป็นวัสดุสิ้นเปลือง เมื่อใช้หมดแล้วก็ไม่ต้องใช้ เราต้องเข้าใจบริบท ว่าเขาอาจมีความจำเป็น และเราไม่ใช่กลุ่มแรก แต่มีแบบนี้มานานและหลายคน ตนจึงอยากให้ทำใจว่าเราเป็นวัสดุสิ้นเปลืองที่ใช้แล้วก็หมดไป แต่เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะทำใจได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งวันนี้ตนภูมิใจแม้จะอยู่กระต๊อบเล็กๆ และอยู่ด้วยความยากลำบาก ฝนตกหลังคารั่วต้องปีนขึ้นไปอุด แต่ตนรักษาตัวตนและอุดมการณ์ รวมถึงจิตวิญญาณ ของตัวเองในด้านการเป็นนักประชาธิปไตย และตนรักษาคำพูดต่อประชาชนได้ โดยไม่เสียคน ตนใช้เวลาทางการเมืองมาแล้ว 32 ปี หากจะหยุดการเมือง อยากจบแบบศพสวย ไม่อยากจบโดยการให้คนมาดูถูกดูแคลน ว่าเราเห็นแก่ประโยชน์เห็นแก่ตำแหน่ง ซึ่งยืนยันว่าไม่ต้องการตำแหน่งและการมาตั้งพรรคใหม่ ก็ประกาศชัดเจนว่าไม่เอาตำแหน่งใดๆ แต่จะเป็นเพียงแค่เสาเข็มให้ก่อนเพื่อให้พรรคตั้งได้
คุณหญิงสุดารัตน์ ย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ได้พาดพิง หรือก้าวก่ายถึงร้อยตำรวจเอกเฉลิม แต่เมื่อถามว่าคล้ายคลึงกับกรณีของตนเองหรือไม่ นั้นก็มีความคล้ายคลึง แต่ไม่ใช่มีแค่เรา 2 คน แต่มีคนก่อนหน้านี้อีกเยอะ.