หนุ่มร้องสายไหม ถูกเพื่อนบ้านมหาภัยปาหินใส่หลังคานับร้อยลูกเป็นปีๆ เครียดจัดแจ้งตำรวจไม่คืบ
วันที่ 6 ส.ค. 67 นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด รับเรื่องราวร้องทุกข์จากนายทนงศักดิ์ แก้วมณี อายุ 54 ปี เนื่องจากถูกเพื่อนบ้านมหาภัย ปาหินใส่หลังคาบ้านนับ 100 ก้อน โดยไม่มีสาเหตุ แจ้งความก็แล้ว คุยดีด้วยก็แล้ว ก็ยังไม่หยุดพฤติกรรม
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเสนานิเวศน์ โครงการ 2 ในย่านประเสริฐมนูกิจ 27 แขวงจรเข้บัว เขตลาดพร้าว ซึ่งบ้านของนายทนงศักดิ์ อยู่ในซอย 226 แต่บ้านผู้ก่อเหตุอยู่ในซอย 228 ซึ่งอยู่หลังบ้านนายทนงศักดิ์ พอดี
นายทนงศักดิ์ บอกว่า ตลอดหนึ่งปีผ่านมาได้ยินเสียงดังอะไรบางอย่างมากระทบกับหลังคาบ้านแต่ไม่ได้สนใจอะไร เพราะคงคิดว่าน่าจะเป็นเศษฝุ่นหินที่ปลิวมากระเด็นโดนหลังคาบ้านตามปกติ จนกระทั่งช่วงเดือนเมษายน สังเกตเห็นว่า หลังคาของบ้านเกิดรั่ว เมื่อขึ้นไปตรวจสอบก็พบว่า มีก้อนหินเป็นจำนวนมาก และมีน็อตเหล็กบางส่วนกองอยู่บนหลังคาบ้าน
ตนเองเลยเดินเข้าไปพูดคุยกับเพื่อนบ้านบริเวณโดยรอบว่าถูกเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันหรือไม่ ทุกบ้านก็บอกว่าโดนเหมือนกัน จนกระทั่งได้มาพูดคุยกับบ้านหลังนี้ ซึ่งตอนนั้นตนก็ยังไม่รู้ว่าเป็นบ้านผู้ก่อเหตุหรือไม่ แต่ตอนสังเกตเห็นว่า มีกองหินที่มีลักษณะคล้ายหินที่อยู่บนหลังคาบ้านตนกองอยู่หน้าบ้านเขา และเห็นตัวผู้ก่อเหตุซึ่งตอนนั้นยังไม่ทราบ ยืนคลุมรถหน้าบ้าน พอตนเขาไปถามก็นิ่งแล้วเดินเข้าบ้าน ตนก็เลยขอเข้าไปพูดคุยกับคนที่อยู่ในบ้านหลังนั้น ซึ่งปรากฏว่า มีพ่อของผู้ก่อเหตุเดินออกมาคุย แล้วก็พูดบ่ายเบี่ยงประมาณว่า แถวนี้ไม่มีใครเขวี้ยงหินหรอก บ้านตนก็โดนเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร
แล้วหลังจากนั้นก็สังเกตเห็นว่า บ้านของตนถูกปาหินเกือบทุกวัน โดยมักจะมีการปาหินในช่วงประมาณตี 5 และประมาณ 1 ทุ่มกว่า ๆ ซึ่งตอนเชื่อว่า น่าจะเป็นบ้านข้างหลังของตนแน่ ๆ เลยตัดสินใจเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.โคกคราม เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม แต่ตำรวจอ้างว่าทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากไม่มีภาพวงจรปิดหรือพยานหลักฐานเพียงพอ
หลังจากนั้น ตัดสินใจติดกล้องวงจรปิด โดยต้องขอความร่วมมือติดตั้งกล้องวงจรปิดจากเพื่อนบ้าน บริเวณโดยรอบที่ถูกปาหินเหมือนกัน โดยทันทีที่ติดกล้องนั้น คนในบ้านผู้ก่อเหตุก็ออกมาโวยวาย ว่า ไม่ให้หันกล้องมาที่บ้านเขา จึงได้แต่หันไปออกไปทางถนน โดยรวมกว่า 7 ตัว แต่ก็สามารถจับภาพบริเวณด้านหน้าบ้านผู้ก่อเหตุได้ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมานั้น ถึงแม้ว่าจะมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด แต่ผู้ก่อเหตุก็ยังพยายามหาช่องในการปาหินใส่บ้านของตน
โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม สามารถจับภาพได้ชัดว่า ตัวผู้ก่อเหตุนั้นได้เดินออกมาหน้าบ้านทำท่าที่สูบบุหรี่แล้วคลุมรถ ก่อนที่จะหยิบหินที่อยู่ที่กองบริเวณหน้าบ้านปาเขวี้ยงใส่บ้านของตน ช่วงประมาณ 19:42 พร้อมกับมีการตะโกนโวยวาย ไม่รู้ว่าตัวผู้ก่อเหตุจงใจที่จะออกประปาให้ภาพวงจรปิดจับได้หรือไม่ แต่ถือเป็นภาพยานหลักฐานที่ชัดเจนที่สุด จึงรีบนำมาร้องเรียนกับนายเอกภพเพื่อให้ดำเนินการทางคดีและตรวจสอบที่เกิดเหตุต่อไป
นายทนงศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนและภรรยาอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้มากกว่า 20 กว่าปีและไม่เคยมีปัญหากับใครโดยเฉพาะบ้านผู้ก่อเหตุ ซึ่งบ้านผู้ก่อเหตุนั้นเพิ่งอาศัยไม่ถึง 10 ปี ตัวผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นชายวัยประมาณ 40 ปี โดยตลอดที่ผ่านมา ภาพวงจรปิดก็สามารถจับภาพตัวผู้ก่อเหตุที่มีพฤติกรรมชอบเดินไปเดินมาคล้ายว่าทำทีดูจุดที่จะปาหินใส่ คาดว่าพ่อแม่อาจจะไม่เคยรู้พฤติกรรมของชายคนนี้ แต่ก็ไม่เคยให้ความร่วมมือกับเพื่อนบ้านในการพูดคุย โดยเฉพาะ บ้านของตน ตัวผู้ก่อเหตุทราบว่ามีลูก แต่คิดว่าตัวผู้ก่อเหตุอาจจะมีปัญหาทางจิต เพราะเคยมีประวัติโชว์ก้นใส่กล้องวงจรปิด (ภาพวงจรปิด 28 กรกฎาคม เวลาประมาณ 18:14) อีกทั้งเพื่อนบ้านบริเวณโดยรอบของบ้านผู้ก่อเหตุก็พูดตรงกันว่า บ้านหลังนี้นั้น ค่อนข้างมีอาการทางจิตและมีปัญหากับเพื่อนบ้านบ่อย รวมทั้งคนในบ้านหลังนั้นก็มักจะพูดคุยกันด้วยถ้อยคำหยาบคายเป็นประจำ
นายทนงศักดิ์ เผยอีกว่า ตนและครอบครัวก็รู้สึกเครียดอย่างมากหลังจากที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ เลยคิดว่าอยากจะย้ายออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น เพราะรู้สึกทรมานเวลาได้ยินเสียง โดยเฉพาะลูกหลานที่รู้สึกผวาไปเลย นอกจากก้อนหินและน็อตแล้ว เพื่อนบ้านยังโดนปาถุงแกง ถุงเครื่องปรุง ไปจนถึงถุงน้ำด้วย จึงอยากให้ทางสายไหมต้องรอดช่วยเหลือในเรื่องนี้ รวมทั้งอยากฝากถึงพ่อแม่ของผู้ก่อเหตุว่า ถ้าลูกคุณป่วยก็ขอให้นำไปรักษา ไม่ใช่มาก่อความวุ่นวายให้กับเพื่อนบ้านแบบนี้ ช่วยดูแลลูกคนนี้เป็นพิเศษ เพราะความอดทนของเพื่อนบ้านก็มีจำกัดเช่นเดียวกัน ส่วนตัวผู้ก่อเหตุนั้น ตนคงไม่ฝากอะไร เพราะคงพูดคุยไม่รู้เรื่อง
ด้านนายเอกภพ กล่าวว่า พฤติกรรมที่เกิดขึ้นอันตรายกับชุมชนรอบข้าง เป็นภัยสังคม อาจจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตผู้อื่นได้และทำให้ชุมชนไม่สงบสุข มองว่ามีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งในวันนี้ตน เตรียมจะประสานทางตำรวจ สน.โคกคราม ให้ลงพื้นที่พร้อมกัน เพื่อพูดคุยกับบ้านของผู้ก่อเหตุ หากพบว่าตัวผู้ก่อเหตุนั้นมีอาการป่วยทางจิต ก็ควรจะต้องนำไปรักษา ก่อนดำเนินคดีตัวผู้ก่อเหตุต่อไป พร้อมทั้งอยากจะประสานให้ทาง ผกก.สน.โคกคราม ช่วยเร่งรัดคดีนี้ด้วย