เรืองไกร ขยี้ต่อ จี้ ป.ป.ช. รีบเสนอเรื่องศาลฎีกาวินิจฉัยว่า 44 สส. ฝ่าฝืนจริยธรรมหรือไม่

8 ส.ค. 67

 

เรืองไกร ขยี้ต่อ ส่งเอกสารด่วน จี้ ป.ป.ช. รีบเสนอเรื่องต่อศาลฎีกา เพื่อวินิจฉัยว่า 44 สส. อดีตพรรคก้าวไกล ฝ่าฝืนจริยธรรมหรือไม่ 

วันที่ 8 ส.ค. 67 นาย เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า วันนี้ ตนได้ส่งหนังสือด่วนที่สุด ทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้ ป.ป.ช. รีบดำเนินการตามหน้าที่ และอำนาจ ด้วยการขอคัดสำเนาคำวินิจฉัย และสรรพเอกสารในสำนวนคดี ทั้งสองจากศาลรัฐธรรมนูญมาถือเป็นพยานหลักฐานในสำนวนไต่สวนของ ป.ป.ช. ตามนัย มาตรา 235 วรรคหนึ่ง ประกอบนัยมาตรา 234 วรรคหนึ่ง (1) และรีบส่งเรื่องให้ศาลฎีกา เพื่อวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 235 วรรคหนึ่ง (1) ต่อไปว่า สส.อดีต พรรคก้าวไกล จำนวน 44 คน มีพฤติการณ์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง หรือไม่ 

นายเรืองไกร กล่าวว่า ในหนังสือที่ส่ง ป.ป.ช. มีข้อเท็จจริงที่ยุติกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 

“ตามที่ ข้าพเจ้า นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ที่อยู่ข้างต้น ได้ส่งหนังสือตามที่อ้างถึง 1. และ 2. ถึง ป.ป.ช. เพื่อให้นำคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ลงวันที่ 31 มกราคม 2567 มาตรวจสอบว่า สส. อดีตพรรคก้าวไกล จำนวน 44 คน เข้าข่ายฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) หรือไม่ ดังความควรแจ้งแล้วนั้น 

ตามข่าวศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2567 (สิ่งที่ส่งมาด้วย 1.) ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกลโดยใช้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นที่ยุติแล้วตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 มาเป็นสาระสำคัญด้วย ซึ่งได้วินิจฉัยไว้ส่วนหนึ่งว่า 

“พฤติการณ์ของผู้ถูกร้องที่เสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันเป็นการลดทอนคุณค่าสถาบันพระมหากษัตริย์” ซึ่งผู้ถูกร้องที่ 1 ในคำวินิจฉัยที่ 3/2567 ดังกล่าวคือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส. ที่ได้ร่วมลงชื่อเสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วย 

แต่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 133 วรรคหนึ่ง (2) บัญญัติว่า การเสนอร่างพ.ร.บ. จะต้องมี สส.ร่วมกันเข้าชื่อไม่น้อยกว่า 20 คน ดังนั้นการร่วมลงชื่อเสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ดังกล่าว จึงมิใช่การกระทำโดยลำพังเฉพาะตัว สส.แต่ละคนแต่อย่างใด การที่ สส. 44 คน ที่ร่วมกันเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายดังกล่าว จึงควรต้องร่วมกันรับผิดตามมาตรฐานทางจริยธรรมในคราวเดียวกันไปพร้อมๆ กัน 

ดังนั้นการที่ สส. อดีตพรรคก้าวไกล จำนวน 44 คน ร่วมกันเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันเป็นการลดทอนคุณค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว ซึ่งคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันองค์กรอิสระ ด้วย ตามนัยมาตรา 211 วรรคสี่ กรณีการร่วมกันเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันเป็นการลดทอนคุณค่าสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น จึงเป็นพฤติการณ์ร้ายแรง ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้ 

ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 วรรคสาม ยังระบุว่าส่วนหนึ่งว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง” และ ป.ป.ช. ต้องทราบดีว่า คำวินิจฉัยดังกล่าวผูกพัน ป.ป.ช. และใช้ได้ในคดีทั้งปวงที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของ ป.ป.ช. ด้วย กรณี จึงมีเหตุอันควรขอให้ ป.ป.ช. ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจด้วยการรีบส่งเรื่องให้ศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 235 วรรคหนึ่ง (1) ต่อไปว่า กรณีข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นที่ยุติแล้วในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 3/2567 วันที่ 31 มกราคม 2567 และในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 7 ส.ค.2567 จะเป็นเหตุให้ สส. อดีตพรรคก้าวไกล จำนวน 44 คน เข้าข่ายฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) หรือไม่ 

เนื่องจาก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 27 บัญญัติว่า การพิจารณาคดีให้ใช้ระบบไต่สวน และมาตรา 76 บัญญัติว่า คำวินิจฉัยของศาลให้มีผลในวันอ่าน ดังนั้นโดยผลคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 3/2567 และตามคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 7 ส.ค. 67 ซึ่งใช้ระบบไต่สวนและมีผลในวันอ่าน ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้ว ย่อมเป็นเด็ดขาดมีผลผูกพัน ป.ป.ช. ทำให้ ป.ป.ช. หาจำต้องไต่สวนข้อเท็จจริงใหม่แต่อย่างใด”

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม