อัจฉริยะ เผยจุดจบของ ทนายตั้มคือคุก พฤติการณ์ร้ายแรงเป็นทนายโจร แฉมีอัยการเป็นแบ็กคอยหนุนหลัง
วันที่ 7 พ.ย.67 จากกรณี ศาลอาญารัชดา ได้ออกหมายจับ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม พร้อม นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของทนายตั้ม และทั้ง 2 คนถูกจับกุมตัวได้ที่ จ.ฉะเชิงเทรานั้น
ล่าสุด นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่าอย่างที่ตนบอกว่าจุดจบของทนายตั้ม ก็คือต้องไปที่เรือนจำ และตนก็มั่นใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเรื่องนี้พฤติการณ์เขาร้ายแรง แล้วก็เป็นถึงนักกฎหมาย มียอดความเสียหายที่สูง ทุกคนต้องรู้ว่าเรื่องนี้เขามีพฤติการณ์ในการหลอกลวงพี่อ้อย เป็นพฤติกรรมที่คนมีความรู้ทางด้านกฎหมาย ทำตัวเป็นโจรในคราบของนักกฎหมาย เรื่องแบบนี้ตนสู้กับเขามา 6 ปี ทำไมตนจะไม่รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง พฤติการณ์แบบนี้ไม่ใช่แค่เพิ่งเกิดกับพี่อ้อย แต่เกิดมานานแล้ว เพียงแต่ทุกคนไม่เชื่อตนเอง
วันนี้ก็เป็นการพิสูจน์อย่างหนึ่งที่ตนออกมาบอก 2-3 วันที่ผ่านมาว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเรารู้เรื่องเงิน 39 ล้านบาท อย่างเมื่อเช้าที่ตนให้สัมภาษณ์ไปว่า น้องมี่ ที่ไปเบิกเงินให้ทนายตั้มได้ไปทั้งหมด 29 ล้านบาท แล้วนุได้ไป 10 ล้านบาท จาก 39 ล้านบาท ยังไม่รวมค่าออกแบบโรงแรม ที่มีการกินหัวคิวพี่อ้อย เงิน 9 ล้านบาท มีการจ่ายเงินจริงแค่ 3 ล้าน 5แสนบาท
โดยน้องมี่ ก็เป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์รู้ข้อมูลข้อเท็จจริงเรื่องนี้เหมือนกัน ซึ่งน้องมี่ทางตำรวจก็จำเป็นต้องเอาไว้เป็นพยานอยู่แล้ว เพราะว่าเป็นผู้มอบเงินและเป็นผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์เกี่ยวกับทนายตั้มและภรรยา ในการที่ไปหลอกลวงเจ๊อ้อย
ตนบอกเลยว่าตำรวจเขาเฝ้าทนายตั้มตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว จากที่ข้อมูลที่เราได้รับมา ทั้งสองคนผัวเมียไม่รอดอยู่แล้ว
เดี๋ยววันนี้ตนจะเปิดคดีที่ 5 แต่ไม่ทราบว่า นางจตุพร เจ๊อ้อย ติดใจที่จะดำเนินคดีการออกแบบบ้านส่วนตัวของสามีหรือไม่ ซึ่งเป็นอีกคดีที่อาจจะเข้าข่ายการปลอมเอกสาร แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานกันอยู่ ส่วนเรื่องรายละเอียดความเสียหายทั้งหมดนั้น ตนยังไม่ขอยืนยันตัวเลข เพราะอยู่ระหว่างการตรวจสอบ แต่เรื่องที่นายษิทรารับเงินนั้นมีพยานหลักฐานที่ยืนยันชัดเจน
นายอัจฉริยะ กล่าวด้วยว่า ส่วนเรื่องการจับมือกับนายษิทรานั้นเป็นเรื่องส่วนตัว แต่นี่เป็นเรื่องส่วนรวม หากตนรู้แล้วไม่พูดก็เหมือนว่าตนช่วยนายษิทราทางอ้อม ตนพูดเสมอว่าอะไรที่เขาทำผิดก็ต้องรับโทษทางกฎหมาย ส่วนคนที่บอกว่าตนคบไม่ได้นั้น ตนก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะไม่ว่าจะพูดอะไรไปเกรียนคีย์บอร์ดก็ด่าตนอยู่ดี ย้ำว่าตนทำงานเพื่อส่วนรวม ไม่เคยโกหกอยู่แล้ว ส่วนคนที่เป็นเอฟซีนั้นยังกินหญ้าอยู่ โดยที่ไม่ได้ดูความจริง ไม่ว่าตนจะทำดีแค่ไหนคนก็ด่าตนอยู่ตลอดอยู่แล้ว
“ผมรู้ว่าเขาวิ่งอัยการได้ แล้วอัยการคนไหนผมก็รู้ อัยการคนไหนที่เป็นแบ็กให้ตั้มผมก็รู้ และไม่ใช่แค่ภาคหนึ่ง เดี๋ยวตำรวจน่าจะเปิดภาคสองต่อ ซึ่งตอนแรกเจ๊อ้อยไม่เข้าใจเรื่องกฎหมาย แต่เมื่อได้มาพูดคุยกันแล้วจึงเข้าใจว่าถูกหลอกมาโดยตลอด ทั้งนี้หากตั้มเป็นลูกผู้ชายจริงเขาต้องมามอบตัว และมั่นใจว่าจะจับตั้มได้ภายในวันนี้ ขออย่าหนี บอกมีหลักฐานก็ให้มามอบตัว” นายอัจฉริยะ กล่าว
นายอัจฉริยะ ระบุอีกว่า ทุกเรื่องที่ตั้มพูด มันเป็นเรื่องของการแสวงหาผลประโยชน์ คุณเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายของพี่อ้อยเดือนละ 300,000 บาท ถ้าตนเป็นที่ปรึกษากฎหมาย ตนต้องแนะนำสิ่งดีๆให้กับลูกความ หรือคนที่เป็นคนว่าจ้างเรา ฉะนั้นทุกเรื่องที่คุณมีการพูด มันเป็นการหลอกลวงในการแสวงหาผลประโยชน์ โดยที่พี่อ้อยเขาเป็นคนที่ไม่รู้กฎหมาย และโชคดีที่เขาถูกลอตเตอรี่ ฉะนั้นคุณมองเห็นแล้วว่าคนนี้ต้มง่าย หลอกลวงง่าย ด้วยความไว้วางใจจึงใช้คนอุบายในการหลอกลวงทั้งแพลตฟอร์มลอตเตอรี่ หลอกลวงทั้งเรื่องเงิน 39 ล้านบาท หลอกลวงทั้งเรื่องรถเบนซ์ และเรื่องค่าออกแบบ ทุกอย่างมันเป็นเจตนาวางแผนมาตั้งแต่ต้น.