อัจฉริยะ เผย 6 ปีที่รอคอยหลังทนายตั้มถูกจับ ถึงเวลาต้องรับกรรมจากการกระทำที่ตัวเองก่อไว้ พฤติกรรมไม่ใช่ทนาย มันคือสันดานโจร
วันที่ 7 พ.ย.67 เมื่อเวลา 17.00 น.นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม และภรรยา ถูกตำรวจกองบังคับการปราบปรามจับกุมกลางถนน ขณะเดินทางไปทำบุญที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ว่าส่วนตัวคิดว่าตั้งใจหนีที่จะออกไปทางช่องทางธรรมชาติเพราะมีสายรายงานไป จึงมั่นใจว่าตัวเองจะไม่ถูกออกหมายจับ แต่หลังจากที่วันนี้ศาลอนุมัติหมายจับ ทนายตั้มก็รู้ก่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็มีการไปดักไว้ก่อนแล้ว
และเชื่อว่ามีคนมีสีให้การช่วยเหลืออยู่ เหมือนเช่นหลายคดีที่ทนายตั้มถูกออกหมายจับ และเดินทางมาที่จังหวัดจันทบุรี ซึ่งขณะจับกุมจะเห็นว่าทนายตั้ม พยายามโทรศัพท์หาคนมีสีคนนั้น แต่ตอนนี้ไม่มีใครกล้าช่วยเหลือแล้ว ยังมั่นใจว่าทนายตั้มจะไม่ได้ประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวนอย่างแน่นอน เพราะพฤติกรรมของทนายตั้มร้ายแรง และมียอดมูลค่าความเสียหายสูง มีพฤติกรรมข่มขู่พยาน ยุ่งเหยิงหลักฐาน ซึ่งตนเองต่อสู้กับทนายตั้มมาถึง 6 ปี เจ็บปวดกับเขามามาก รู้พฤติกรรมดีว่าเป็นคนอย่างไร วันนี้ถึงเวลาที่จะต้องรับกรรมจากการกระทำที่ตัวเองก่อไว้
ส่วนนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของทนายตั้มที่ถูกออกหมายจับด้วยนั้น ส่วนตัวเชื่อว่าต้องรู้เห็นพฤติกรรม และให้การช่วยเหลือสามีทั้งหมด ส่วนจะมีเส้นเงินไปถึงหรือไม่นั้น เชื่อว่าตำรวจจะสามารถสืบสวนสอบสวนทางคดีได้
ส่วนกรณีเงินจำนวน 39 ล้านบาท ที่ทนายตั้มเป็นผู้พา ”นายนุ“ และนางสาวสา เข้าแจ้งความกับตำรวจนครบาลบางซื่อ จากนั้นได้พาไปพบกับพี่อ้อย พร้อมกับแนะนำให้จ่ายแคชเชียร์เช็คจำนวน 39 ล้านบาท โดยไม่มีการขีดค่อม จากนั้น “นางสาว ม.“ เป็นคนไปเบิกเงินจำนวนนี้มาให้กับทนายตั้ม จำนวน 29 ล้านบาท ส่วน“นายนุ” ได้ไป 10 ล้านบาท มีการแบ่งหน้าที่กันทำเป็นขั้นเป็นตอนชัดเจน โดยอาศัยความใจดี และไม่รู้เรื่องเงินดิจิตอลของพี่อ้อย มาใช้เป็นประโยชน์ในการหลอกลวง
เมื่อถามถึงกรณีที่ทนายตั้มและนายอัจฉริยะจับมือเลิกแล้วต่อกัน นายอัจฉริยะระบุว่า การจับมือครั้งนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว เพราะมีคดีความต่อกัน แต่กรณีนี้เป็นประโยชน์ส่วนรวม ที่ทนายตั้ม ได้ทำกรรมเอาไว้กับผู้เสียหายหลายคน และบางรายไม่กล้าออกมาต่อสู้ เพราะตัวทนายตั้มเองมีสำนักงานกฎหมายและรู้จักกับผู้ใหญ่หลายคนจนคู่กรณีต้องยอม เชื่อว่าวันนี้ไม่ใช่แค่ตัวเองที่รอคอย แต่ก็มีผู้เสียหายหลายคนรอคอยเช่นกัน
วันนี้อยากจะบอกว่า “กรรมที่มึงก่อไว้ 6 ปีที่ผ่านมาทำกับนักโทษในพื้นที่ภาค 7 ไว้ ถือเป็นกรรมอันแรก สองที่ไปหลอกลูกความก็เยอะ อันนี้ทำให้เห็นว่าพฤติกรรมของเขามันไม่ใช่เป็นทนาย มันคือสันดานโจรที่อาศัยการเป็นนักกฎหมายที่รู้กฎหมายมาเอาเปรียบคนอื่น"
นอกจากนี้นายอัจฉริยะ ยังเปิดเผยว่าในวันพรุ่งนี้ ตนเองจะเดินทางไปที่กองปราบปราม ไม่ใช่ไปเยี่ยมทนายตั้มและภรรยา แต่จะนำหลักฐานของข้าราชการที่ปลอมสูติบัตรและบัตรประชาชนที่ต่ออายุราชการ โดยมีข้าราชการกระทรวงมหาดไทยช่วย โดยทนายตั้ม มีการแถลงข่าวผ่านสื่อมวลชนหลายช่อง แต่สุดท้ายเรื่องกลับเงียบ จึงสงสัยว่ามีการเคลียร์เพื่อปิดเรื่องดังกล่าวโดยไม่ชอบมาพากลหรือไม่ จึงยื่นเรื่องให้ ผู้บังคับการ ปปป.สืบสวนสอบสวนในเคสดังกล่าว หากพบการกระทำผิดให้ดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป.