จากกรณีเมื่อวันที่ 20 ส.ค.63 ที่ผ่านมา นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า ในวันที่ 21 ส.ค.63 เวลา 10.00 น. จะเดินทางไปแจ้งความที่ สน.ทุ่งสองห้อง เนื่องจากที่นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุถึงตนว่า “ไอ้สิระ กูเจอมึงที่ไหน กูจะเอาให้ฟันร่วงหมดปาก รู้จักกูน้อยไป”
โดยการกระทำนี้ถือว่ามีพฤติกรรมข่มขู่ คุกคาม แม้ว่าต่อมานายมงคลกิตติ์ จะลบโพสต์ดังกล่าวออกไปจากเฟซบุ๊กส่วนตัวแล้ว แต่นายสิระ นำภาพดังกล่าวไปโพสต์เฟซบุ๊กโต้กลับไปบ้างว่า "เต้พลาดแล้ว เจอกันที่ สน.ทุ่งสองห้อง" ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันที่ 21 ส.ค.63 ผู้สื่อข่าวรายงานที่ สน.ทุ่งสองห้อง ท่ามกลางสื่อมวลชนมารอทำข่าว บริเวณด้านหน้า สน.ทุ่งสองห้อง โดยเมื่อเวลา 10.15 น. นายสิระ เดินทางมายัง สน.ทุ่งสองห้อง พร้อมเปิดเผยกับสื่อมวลชลว่า วันนี้เดินทางมาแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากตกเป็นผู้เสียหาย หลังจากถูกนายมงคลกิตติ์คุกคาม หลังจากที่โพสต์เฟซบุ๊กว่า “เจอจะต่อยให้ฟันร่วงหมดปาก” อีกทั้งมีการเดินตามหาคนในสภา ซึ่งเป็นสถานที่ราชการ มองว่าที่สภาผู้แทนราษฎร ปล่อยให้ ส.ส. กระทำพฤติกรรมแบบนี้ได้อย่างไร
ในขณะเดียวกัน ฝากถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่าจะมีการจัดการกับ ส.ส.ที่มีพฤติกรรมแบบนี้อย่างไร หรือมีมาตรการอย่างไรกับผู้แทนที่มีพฤติกรรมเยี่ยงนักเลงแบบนี้ ซึ่งทำให้สภาฯ เสื่อมเสีย และทำให้ ส.ส. เสื่อมเสีย
ส่วนกรณีที่นายมงคลกิตติ์ มีการโพสต์ให้นายกฯ ลาออกนั้น ตนมองว่า “จะให้นายกฯ ลาออก หรือการบังคับให้ท่านลาออก สมควรทำหรือไม่” และย้อนกลับไปถามนายมงคลกิตติ์ ว่า “แล้วตัวนายมงคลกิตติ์เองล่ะ สมควรลาออกไหม” เพราะมีเรื่องผิดกฎหมายหลายประการ ทั้งเรื่องการพกระเบิดมาในสภาฯ เป็นเรื่องผิดกฎหมาย อาจจะทำให้สภาฯ ระเบิด หรือแม้กระทั่งเรื่องการตำแหน่งผู้แทนฝ่ายค้านอิสระของนานมงคลกิตติ์ ก็เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย
อีกทั้งแค่เพราะตนถามว่า “สตางค์หมดหรือไม่” ซึ่ง นายสิระ ระบุว่า เป็นการถามด้วยความห่วงใย ในฐานะที่เป็นประธานรุ่นสถาบันพระปกเกล้า ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน จึงคิดว่า “ถ้าสตางค์ไม่พอใช้ ก็มาบอกตนได้” เนื่องจากก่อนหน้านี้ นายมงคลกิตติ์ มีการบริจาคเงินช่วยเหลือโควิด-19 อาจจะไม่มีเงินใช้ แต่นายมงคลกิตติ์ กลับคิดทางลบหาว่าดูถูก ซึ่งความคิดนี้เกิดจากอคติของนายมงคลกิตติ์เอง
นอกจากนี้ นายสิระ มองว่า พฤติกรรมของนายมงคลกิตติ์ ไม่ใช้การบันดาลโทสะ แต่เป็นสันดานของคนหรือไม่ และพฤติกรรมเช่นนี้ สมควรเป็นตัวแทนประชาชนหรือไม่ เพราะทำให้ประชาชนผิดหวังแน่นอน
ส่วนกรณีที่ นายมงคลกิตติ์ มีการลบโพสต์เฟซบุ๊กดังกล่าวออกไป และมีท่าทีที่อ่อนลงนั้น นายสิระ มองว่า ทำไมต้องลบโพสต์เฟซบุ๊ก พร้อมระบุว่า “กล้าทำ กล้ารับ กลัวอะไรเต้!” ทั้งนี้ตนไม่ต้องการท้าต่อยกับนายมงคลกิตติ์ แต่อย่างใด ในขณะเดียวกัน นายสิระ ระบุว่า จะให้บทเรียน ส.ส. ได้ทราบข้อกฎหมายและจริยธรรมของ ส.ส.ที่ดีว่าควรมีพฤติกรรมอย่างไร และสะท้อนให้เห็นว่าไม่ความเป็นเยี่ยงอย่างแก่ ส.ส. ท่านอื่นหรือ ไม่ควรเป็นเยี่ยงอย่างกับ ปชช.
อย่างไรก็ตาม วันนี้จะมีการดำเนินคดีทางอาญา แจ้งความนายมงคลกิตติ์ ในข้อหา “การขู่เข็ญ ข่มขู่คุกคามผู้อื่น” และจะมีการตรวจสอบจริยธรรม ส.ส. กับนายมงคลกิตติ์ด้วย
ขณะเดียวกันเมื่อเวลา 11.15 น. ภายหลังจากที่นายสิระ เจนจาคะ แจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียบร้อยแล้ว นายสิระ ระบุว่า เมื่อวานนี้นายมงคลกิตติ์ พยายามที่จะโทรศัพท์มาหา และพยายามที่จะส่งข้อความมาข่มขู่ว่า “อยากมีเรื่องจริง ๆ ไหม เจอกัน” แต่ตนเองไม่ได้รับสาย เพราะติดประชุมทั้งวัน และไม่ได้ให้ความสำคัญกับนายมงคลกิตติ์ มากไปกว่า สส.คนอื่น
ในขณะเดียวกัน จะนำเอกสารบันทึกประวันการแจ้งความ ไปยื่นเสนอที่สภาฯ เพื่อถอดถอนการเป็น ส.ส. ของนายมงคลกิตติ์ ต่อไป
ภายหลังจากที่ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ เดินทางเข้าแจ้งความที่ สน.ทุ่งสองห้องแล้ว จึงเดินทางต่อมายังอาคารรัฐสภา ที่บริเวณชั้น 1 จังหวะที่นายสิระ กำลังเดินเข้ามานั้น นายมงคลกิตติ์ กำลังให้สัมภาษณ์พิเศษสื่อมวลชนบางส่วนอยู่ที่บริเวณชั้น 1 เช่นเดียวกัน ทันใดนั้นนายมงคลกิตติ์ เหลือบไปเห็นนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.พลังประชารัฐเดินเข้ามาพอดี จึงเดินออกจากวงสัมภาษณ์ แล้วปรี่เข้าไปหาตัวนายสิระ ทันที พร้อมจับแขนด้านขวาของนายสิระ ซึ่งนายสิระได้ขอให้ผู้ที่อยู่บริเวณดังกล่าว บันทึกภาพวิดีโอไว้เป็นหลักฐานก่อนจะสะบัดมือออกทันทีและพูดว่า “อย่ามาจับผม จับตัวผมไม่ได้ คุณเป็นนักเลง”
จากนั้นนายมงคลกิตติ์ พยายามที่จะเดินตามนายสิระ แต่นายสิระได้พยายามเดินหนี และขอให้ตำรวจสภาฯ เข้ามาพาตัวนายมงคลกิตติ์ออกไป และระบุว่าให้ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นหลักฐานฟ้องคนทั้งประเทศว่า ส.ส.กระทำผิด เพราะนี่คือสภาอันทรงเกียรติ แต่กลับมีพฤติกรรมเดินมาหาเรื่อง ขณะที่นายมงคลกิตติ์ สวนกลับว่า “ทำไมเวลาพูดไม่คิด ใครเป็นคนเริ่ม” นายสิระตอบกลับว่า “คิดแล้ว” พร้อมบอกนายมงคลกิตติ์ว่า “ไม่ต้องมาพูดกับผม”
โดยภายหลังจากที่ สิระ-มงคลกิตติ์ ปะทะหน้ากันกลางสภา กระทั่งเกิดชุลมุนจนหวิดวางมวยกันกลางสภาแล้วนั้น “นายสิระ เจนจาคะ” ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ได้ขึ้นมาเข้าพบ “นายชวน หลีกภัย” ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อรายงานถึงปัญหาที่เกิดขึ้น โดยใช้เวลาเข้าพบประมาณ 10 นาที
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ระหว่างที่นายสิระกำลังให้สัมภาษณ์อยู่นั้น ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร “นายแพทย์สุกิจ อัถโถปกรณ์” ได้มาพาตัวนายมงคลกิตติ์ ที่รออยู่หน้าห้องประธานสภา หลบออกไปก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับนายสิระ
ต่อมานายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ เข้าพบกับ “นายชวน หลีกภัย” ประธานสภา โดยใช้เวลาเข้าพบประมาณ 10 นาที เพื่อพูดคุยถึงปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้น
นายมงคลกิตติ์ เปิดเผยหลังเข้าพบประธานสภาว่า ที่ตนโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว แค่คำว่า สิระ แต่ไม่ได้ระบุนามสกุล และการโพสต์นั้นก็ไม่ได้มุ่งหวังจะเอาชีวิต ส่วนที่โพสต์ไปเมื่อวานแค่บันดาลโทสะ ยอมรับว่าเมื่อวานโกรธมากหลังนายสิระแถลงข่าวที่มีถ้อยคำดูถูกตัวเอง เพื่อน ส.ส. ที่นั่งอยู่ก็เห็นหมด และขอให้ตนเอาผิดกับนายสิระ แต่พฤติกรรมของนายสิระ มันเกินไป ปกติตนจะเป็นคนที่ไม่ถือสาพวกเดียวกัน แต่ตนเป็นหัวหน้ากลุ่มพรรคเล็ก ทำแบบนี้เหมือนหยามศักดิ์ศรี และดูถูกทุกคนในพรรคเล็กไปด้วย
ส่วนกรณีเรื่องที่นายสิระ จะมีการนำเอกสารการแจ้งความที่ สน.ทุ่งสองห้อง ไปยื่นเสนอถอดถอนการเป็น ส.ส. ของตนและมีการตรวจสอบจริยธรรมนั้น นายมงคลกิตติ์ ยอมรับว่า “ไม่มีปัญหา ไม่กังวลใจ” ส่วนกรณีที่เกิดปะทะหน้ากัน ที่ชั้น 1 อาคารรัฐสภานั้น ตนแค่อยากถามว่า “ไม่คิดจะขอโทษกันเลยเหรอ ที่พูดต่อว่าผ่านสื่อขนาดนั้น” โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้ไม่พอใจ
กรณีเรื่องที่ตนแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเกี่ยวกับ พล.อ.ปรนะยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตนพูดในฐานะแกนนำพรรคเล็กที่ร่วมรัฐบาล เป็นห่วงบ้านเมืองกับเหตุการณ์ที่จะเกิดข้างหน้า จึงอยากให้นายกรัฐมนตรีถอยออกมา เพราะหากมีม็อบ จำนวน 4-5 แสน ก็จะทำให้บริหารงานลำบาก ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะต้องมาพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ ต้องมีการถอย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเสนอแนะในฐานะพรรคเล็ก เนื่องจากเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่ยกมือให้เป็นนายกรัฐมนตรี และประโยคที่ตนโกรธเลือดขึ้นหน้าคือ “ตักน้ำใส่กระโหลก-บริจาคเงินจนหมดให้มาขอนายสิระได้-กล้วยหมด” ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องการแสดงความเห็นทางการเมือง
ส่วนกรณีที่นายสิระ ย้อนกลับถามตนว่า “ตนไม่คิดจะลาออกบ้างเหรอ” นายมงคลกิตติ์ ระบุว่า ไม่ใช่ผู้บริหารประเทศ ซึ่งตรงนี้ต้องเป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติเป็นคนให้คำปรึกษา ฝ่ายบริหารถ่วงดุลในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ส่วนที่หาว่าตนนำวัตถุระเบิดเข้าไปในสภานั้น ก็ไม่เป็นความจริง เพราะวัตถุดังกล่าวเป็นสารแอมโมเนีย ขนาดเท่านิ้วก้อยเท่านั้น
ทั้งนี้เรื่องของการลบโพสต์ที่ขู่นายสิระ นายมงคลกิตติ์ ชี้แจงว่า ไม่ได้ลบ แต่เมื่อวานมีผู้สื่อข่าวโทรศัพท์หาเยอะ แล้วบังเอิญว่านิ้วก้อยไปกดโดนลบ เล็บนิ้วก้อยมันยาว ตนไม่รู้ ลบไปแล้วก็เสียดายอยู่ เพราะกดไลก์เยอะ และบอกต่อว่า ชีวิตไม่เคยกลัวอะไร มาถึงขนาดนี้ไม่กลัวอะไรแล้ว การที่โพสต์หายไปเพราะนิ้วไปโดนเท่านั้น ไม่ได้กลัวแล้วลบ ขณะที่ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าทำไมไม่โพสต์ใหม่ นายมงคลกิตติ์ตอบว่า ก็มีคนแคปไว้หมดแล้ว จะโพสต์อีกทำไม ส่วนที่ตนโพสต์เรื่องบัญชีทรัพย์สิน นายมงคลกิตติ์ยืนยันว่าไม่ได้สื่อถึงใคร ใครมีก็ไปชี้แจงเพิ่ม
นอกจากนี้จากการที่นายสิระตำหนิพฤติกรรมว่า ไม่เหมาะสมนั้น นายมงคลกิตติ์ ย้อนถามกลับไปว่า “แล้วเหตุการณ์ที่ภูเก็ต เหมาะสมหรือไม่” แต่ทั้งนี้หากยังไม่ขอโทษ นายมงคลกิตติ์ ก็จะมอบหมายให้ทนายความไป ฟ้องร้องดำเนินคดีที่ศาลอาญาฐานหมิ่นประมาทในวันที่ 24 ส.ค.63
จากนั้นนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยหลังเข้าพบว่า ขอให้นายชวน หลีกภัย ดูแลความปลอดภัย ส.ส.ที่ทำงานเพื่อประชาชน ไม่ให้ใครถูกคุกคาม หรือมาท้าตีท้าต่อยกลางสภา ซึ่งเมื่อวานนี้และวันนี้ ตนถูกคุกคามจากการทำหน้าที่ ส.ส. รู้สึกไม่ปลอดภัยในการทำหน้าที่ในรัฐสภา ซึ่งตนต้องได้รับสิทธิคุ้มครอง ในการทำงานเพื่อความปลอดภัย ซึ่งตามหลักกฎหมายการเข้ามาจับแขนนั้น ตนสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ แต่ไม่อยากทำ ส่วนจะมีการแจ้งความเอาผิดเรื่องวันนี้อีกหรือไม่ จะให้ทางทีมกฎหมายพิจารณา
ส่วนกรณีที่นายมงคลกิตติ์ อ้างความเป็นลูกผู้ชายเพื่อให้ตนขอโทษนั้น ระบุว่า “ลูกผู้ชายอะไรต้องไปขอโทษ ไม่ใช่เรื่องที่จะขอโทษและต้องขอโทษเรื่องอะไร” และคำว่า “ลูกผู้ชาย” อย่าเอามาใช้พร่ำเพรื่อ ลูกผู้ชายจริงเขาไม่ลบเฟซบุ๊ก นี่หรือที่เรียกว่าลูกผู้ชาย
ส่วนที่นายมงคลกิตติ์ บอกว่าจะรับโทรศัพท์แล้วมือไปโดนจึงทำให้โพสต์เฟซบุ๊กหายไปนั้น นายสิระ ระบุว่า “เหรอครับ” พร้อมบอกว่า “ก็โพสต์ใหม่สิ” ถ้ามั่นใจว่าข้อความนั้นเป็นของ ส.ส.เต้ ส่วนการจะบอกว่า คนอื่นถูกหรือผิดหรือไม่ แล้วใช้เรื่องความสำนึกผิดมาตัดสินไม่ได้ ต้องพิจารณาดุลยพินิจและดำเนินการเอาผิดตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ขณะเดียวกันวันนี้มาเรียกร้องให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ช่วยสั่งให้เจ้าหน้าที่ ดูแลความปลอดภัย เพราะเดินไปทางไหนถูกนายมงคลกิตติ์เข้ามาก่อกวน รังควาน คุกคาม ในระหว่างเข้ามาทำหน้าที่ในสภาฯ
ทั้งนี้ตนยืนยันว่า จะไม่มีเหตุกระทบกระทั่งกันขึ้น เพราะตนไม่สนใจและไม่เคยมีปัญหาอะไร และถ้าหากนานมงคลกิตติ์ ไม่ใช้เอกสิทธิ์คุ้มครอง ก็ให้เข้าไปปฏิเสธหรือยอมรับข้อกล่าวหาที่ไปแจงความไว้ที่ สน.ทุ่งสองห้อง อีกทั้งทิ้งท้ายว่า ให้พิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชายของ ส.ส.มงคลกิตติ์ ว่า ”โพสต์จริงหรือไม่ ลบโพสต์ออกไปใช่ไหม”
ขณะที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร “นายชวน หลีกภัย” ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีปัญหาความขัดแย้งระหว่างนายสิระ กับ นายมงคลกิตติ์ ว่า ได้บอกทั้ง 2 คนว่าแบบนี้ ภาพพจน์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะเสีย ต้องแยกระหว่างคนหมู่ใหญ่กับ คน 2 คน ออกจากกัน อย่าเหมาว่าทุกคนในสภา จะมีสภาพแบบนี้ ตนตั้งใจว่าจะให้ทั้ง 2 คนได้พบกันและคุยกัน เพราะว่าถ้าไม่คุยกันจะยิ่งขัดแย้งกัน
นายชวน กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องความรุนแรง ขอร้องว่าอย่าให้เกิดขึ้น การขัดแย้งเรื่องวาจาไม่เป็นไร ค่อยว่ากันแต่เรื่องความรุนแรงอย่าให้เกิดขึ้น ตนพยายามที่จะเชิญทั้ง 2 ฝ่ายมาคุยกัน แต่ทั้งคู่ไม่ยอมมาคุยกัน โดยคนที่ยืนกรานว่าจะไม่ขอคุยคือนายสิระ ซึ่งทางฝ่ายของนายมงคลกิตต์ เองก็ไม่ต้องการเช่นกัน
เมื่อถามว่า หากมีการต่อยหรือตีกันในสภาฯจริงๆ จะมีบทลงโทษอย่างไรบ้าง นายชวน กล่าวย้ำว่า "บอกแล้วว่ายังไงก็อย่าให้เกิดขึ้น ผมคิดว่าดีที่สุดคือเอาคำพูดของแต่ละฝ่าย มารวบรวม เรียบเรียงว่าเริ่มต้นอย่างไร ใครเป็นผู้ก่อเรื่องขึ้นมาก่อน และเรื่องตามมาอย่างไร ส่วนเรื่องที่บอกว่าจะเอาให้ฟันร่วงหมดเลย เขาก็ยืนยันว่าเขาจะไม่ทำ"
สำหรับไทม์ไลน์กรณีที่นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้า พรรคไทยศรีวิไลย์ เริ่มต้นจากเจ้าตัวเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้วิจารณญาณตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง หากไม่สามารถควบคุมสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มต่าง ๆ ได้ภายใน 1 เดือน เพราะเชื่อว่าวันที่ 19 ก.ย.63 ที่จะมีการนัดชุมนุมใหญ่ จะไม่ได้มีเพียงนักเรียน นักศึกษาเท่านั้น
จากนั้นนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวให้สัมภาษณ์ตอบโต้นายมงคลกิตติ์ ว่า วันนี้ตนรู้สึกงงกับสิ่งที่นายมงคลกิตติ์ออกมาพูดเช่นนี้ พฤติกรรมที่ผ่านมาของนายมงคลกิตติ์ ตั้งแต่เป็นส.ส. มีแต่วีรกรรมสร้างเรื่อง เช่น การพกสารก่อระเบิดเข้าสภา ออกมาแสดงตัวอยากเป็นรัฐมนตรี ตนขอแนะนำให้นายมงคลกิตติ์ ไปตักนํ้าใส่กระโหลกชะโงกดูเงา หันกลับไปมองตัวเองบ้าง
“นายมงคลกิตติ์ต้องการผลประโยชน์อะไรหรือไม่ ที่ออกมาเรียกร้องเช่นนี้ หรือเพราะนายมงคลกิตติ์เงินหมด เนื่องจากบริจาคเงินเดือน ส.ส.ให้ในสถานการณ์โควิด-19 ไปแล้ว ซึ่งหากนายมงคลกิตติ์เงินหมดจริง ก็ติดต่อมาบอกผมได้ ผมจะช่วยดูแลให้”
เมื่อเวลา 17.18 น. นายมงคลกิตติ์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า "ไอ้สิระ กูเจอมึงที่ไหน กูจะเอาให้ฟันร่วงหมดปาก รู้จักกูน้อยไป"
กระทั่งนายสิระ เดินทางมาที่ สน.ทุ่งสองห้อง ท่ามกลางสื่อมวลชนมารอทำข่าว โดยเมื่อเวลา 10.15 น. นายสิระ เดินทางมายัง สน.ทุ่งสองห้อง พร้อมเปิดเผยกับสื่อมวลชลว่า วันนี้เดินทางมาแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากตกเป็นผู้เสียหาย
นอกจากนี้บนโลกออนไลน์ ยังมีแฟนเพจเฟซบุ๊กชื่อว่า "เฮ้ย นี่มันตัดต่อชัดๆ V2" ได้ตัดต่อภาพของ ส.ส.ทั้งคู่ หากมีการชกกันจริง ฟันจะร่วงหมดปากหรือไม่ ซึ่งทันทีที่ภาพมีการเผยแพร่ ชาวเน็ตเข้าไปแสดงความคิดเห็นมากมาย และแชร์ภาพตัดต่อดังกล่าวออกไปอย่างรวดเร็ว
นายมงคลกิตติ์ จบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และจบปริญาโท จากม.ธรรมศาตร์ สุดท้ายจบปริญญาเอก ที่ม.ชินวัตร ส่วนนายสิระ จบการศึกษาจากคณะศิลปศาสตร์ ม.เกริก
นายมงคลกิตติ์ ตำรงตำแหน่ง หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกคณะกรรมาธิการการทหาร ด้านนายสิระ เป็น ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การ
นายมงคลกิตติ์ มีทรัพย์สินรวม 192,902,325 บาท ด้านนายสิระ มีทรัพย์สินรวม 547,694,338 บาท
Advertisement