จากกรณีโลกโซเชียลฯ ได้แชร์เรื่องราวของน้องแมนยู วัย 9 ขวบ ซึ่งตาข้างซ้ายบอดจากอุบัติเหตุวัยเด็ก และอาศัยอยู่ที่จังหวัดเลยกับครอบครัว
โดยในวันที่ 2 ต.ค.63 เวลาประมาณ 16.00 น. น้องแมนยูได้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของพี่ชาย เพื่อไปซื้อกับข้าวมาให้แม่ที่ตลาด แต่พอเดินทางมาถึงสามแยกบ้านนาดินดำ รถเก๋งคันหน้าได้เบรกกะทันหันเพื่อจะเลี้ยวซ้าย จึงทำให้เกิดเหตุเฉี่ยวชน น้องแมนยูกระเด็นไปถูกเหล็กฉากประตูรั้วบ้านบริเวณสามแยก เป็นเหตุทำให้แขนซ้ายขาดทันที แต่น้องแมนยูยังมีสติ ไม่สนใจตัวเอง บอกกับพี่ชายว่า “ไม่ต้องห่วง ไปซื้อกับข้าวให้แม่กินเลย เดี๋ยวไม่ได้กินข้าว”
ทั้งนี้เนื่องด้วย รพ.เลย ไม่มีแพทย์เฉพาะทางรักษา จึงได้ส่งตัวน้องแมนยูมารักษาต่อที่ รพ.ศูนย์อุดรธานี โดยผู้คนต่างช่วยแชร์เรื่องราวนี้ออกไป เนื่องจากเป็นห่วงค่ารักษาพยาบาลที่ประเมินว่าสูงถึง 105,000 บาท อีกทั้งครอบครัวของน้องแมนยูยังมีสถานะยากจน พ่อหูหนวก แม่ตาบอด ส่วนรถจักรยานยนต์ที่น้องแมนยูนั่ง พ.ร.บ.รถจักรยานยนต์ ก็ยังไม่ได้ต่ออายุ และรถเก๋งคู่กรณีก็แย้งว่าตัวเองไม่ผิด
ขณะนี้มีคนใจบุญช่วยเหลือน้องแมนยูจำนวนมาก จนได้เงินเกือบแสนแล้ว ซึ่งน่าจะเพียงพอกับค่ารักษาพยาบาล บัญชีรับบริจาคแรกจึงปิดลงไป เพื่อไม่ให้เป็นข้อครหา แต่หากยังมีผู้ใจบุญที่อยากจะช่วยเหลือน้องแมนยู ก็สามารถบริจาคเพิ่มเติมได้ ซึ่งทางโรงเรียนฯ เป็นผู้เปิดบัญชีเอง
ล่าสุดวันที่ 6 ต.ค.63 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้เดินทางมาพูดคุยกับ นางสาวกิริตากร มะระครอง อายุ 28 ปี เพื่อนบ้านและผู้โพสต์เฟซบุ๊กขอความช่วยเหลือ ซึ่งเป็นผู้ที่ขับรถไปส่งน้องแมนยูกลางทาง ก่อนถึงโรงพยาบาลจังหวัดเลย อีกทั้งยังนำแขนซ้ายของน้องแมนยูใส่ถุงน้ำแข็ง นำไปให้แพทย์อีกด้วย
นางสาวกิริตากร เล่าว่า ในวันเกิดเหตุ (2 ตุลาคม) เวลาประมาณ 16.00 น. ตนได้ขับรถเก๋งผ่านบริเวณสามแยกที่เกิดเหตุ โดยขณะนั้นตนเห็นว่ามีคนจำนวนมากกำลังมุงดูเหตุการณ์ ได้ยินว่ามีคนแขนขาด เมื่อลงไปสำรวจจึงพบว่า “น้องแมนยู” แขนซ้ายขาด ตนรู้สึกตกใจมาก แต่ก็พยายามตั้งสติ โทรศัพท์ประสานการช่วยเหลือกับเจ้าหน้าที่กู้ภัย หากรอรถกู้ภัยมาถึงก็ต้องใช้เวลานาน เนื่องจากการจราจรค่อนข้างจะติดขัด ตนจึงตัดสินใจพาน้องแมนยูขึ้นรถ นำแขนซ้ายน้องแมนยูใส่ถุง แล้วพาไปส่งให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่กลางทาง
โดยระหว่างทางตนได้แวะซื้อน้ำแข็ง จากร้านค้าข้างทาง นำมาแช่แขนให้น้องแมนยู ซึ่งน้องแมนยูถูกส่งตัวถึงโรงพยาลเลย ในเวลาประมาณ 17.00 น. ทีมแพทย์ประเมินกันแล้วว่า ต้องส่งตัวน้องแมนยูมารักษาตัวที่โรงพยาบาลอุดรธานี เป็นการด่วน โดยน้องแมนยูได้มาถึงโรงพยาบาลอุดร ในเวลา 17.45 น. แล้วใช้เวลากว่า 10 ชั่วโมงในการผ่าตัดต่อแขนซ้าย
ทั้งนั้ตนตัดสินใจโพสต์เรื่องราวทั้งหมดลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว เพื่อขอความช่วยเหลือ เนื่องจากคู่กรณีไม่รับผิดชอบ อีกทั้งพ.ร.บ.รถจักรยานยนต์ที่น้องแมนยูนั่งซ้อนท้ายก็ยังขาดส่งมา 5 ปีแล้ว ส่วนสำนวนคดีก็ยังไม่ได้ชี้มูลความผิดว่าใครผิดใครถูก
นอกจากนี้ แม้ตนจะลบโพสต์ไปแล้วตามที่โรงพยาบาลขอ เพราะการรักษาพยาบาลเป็นข้อมูลส่วนบุคคล แต่มีการแชร์ต่อกันเป็นจำนวนมาก จนทำให้ยอดบริจาคพุ่งสูงถึงหลักล้านบาท (1,190,710.45) โดยขณะนี้บัญชีรับบริจาคนี้ก็ได้ปิดลงแล้วเช่นกัน
ส่วนสาเหตุที่น้องแมนยูตาบอดนั้น ตนทราบว่าเกิดจากการถูกคนสติไม่ดียิงหนังยางใส่ ซึ่งแพทย์ระบุว่าสามารถรักษาได้ แต่ต้องรอให้น้องโตก่อน อีกทั้งหากเงินเหลือ ทางครอบครัวก็จะเก็บไว้เป็นทุนการศึกษาให้น้องแมนยู
นางสาวกิริตากร ยังตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นาดินดำ ถึงต้องรอให้น้องแมนยูหายดีก่อน ถึงจะสรุปสำนวนคดีได้ ทั้ง ๆ ที่น้องแมนยูไม่ใช่ผู้ขับรถจักรยานยนต์ เพราะหากสรุปสำนวนได้เร็ว ก็จะเป็นประโยนชน์ในการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในอนาคต
ขณะเดียวกัน ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นางคำหล้า วรรณไชย วัย 43 ปี แม่ของน้องแมนยู ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งขณะนี้นางคำหล้า มีกำลังใจดีขึ้นมาก หลังจากที่น้องแมนยูได้รับการช่วยเหลือ
นางคำหล้า เล่าให้ฟังว่า น้องแมนยูเป็นเด็กใฝ่เรียนรู้ ชอบให้นางสาวกิริตากร เพื่อนบ้าน (ผู้โพสต์แชร์เรื่องราว) สอนการบ้านให้ ชื่นชอบธรรมะ ชอบเข้าวัดทำบุญใส่บาตร เมื่อถึงช่วงเทศกาลถือศีลกินเจ ก็จะไปนอนอยู่ศาลเจ้า ชอบเข้าร่วมงานสำคัญทางศาสนาต่าง ๆ
ในวันเกิดเหตุเป็นวันศุกร์ที่ 2 ต.ค.63 ตรงกับวันออกพรรษา น้องแมนยูได้บอกกับตนว่าจะหยุดเรียน เพื่อขอไปทำบุญที่วัด ซึ่งตอนแรกตนก็รู้สึกแปลกใจ เนื่องจากปกติน้องแมนยูถึงแม้จะชอบธรรมะ แต่ก็จะไม่เคยขอไปวัดคนเดียว จากนั้นน้องแมนยูก็ออกไปเล่นกับเพื่อนตามปกติ จากนั้นก็ได้กลับมาบ้าน ตนก็ได้ไปยืมเงินเพื่อนบ้านให้ลูกชาย 150 บาท เพื่อไปซื้อข้าว โดยตนไม่มีลางสังหรณ์มาก่อนว่าจะเกิดเหตุร้าย มีเพียงความฝันก่อนหน้านี้ที่ตนฝันเห็นผู้ชายใส่ชุดสีขาวเดินลัดเลาะไปตามหมู่บ้าน แล้วหันมาบอกกับตนว่าเดี๋ยวมาเยี่ยมใหม่ ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าฝันนี้จะเกี่ยวกันหรือไม่
เมื่อตนทราบข่าวว่าลูกชายประสบอุบัติเหตุ ก็รู้สึกตกใจ กระวนกระวายทำอะไรไม่ถูก จึงขอให้เพื่อนบ้านพาตนไปยังที่เกิดเหตุ เพราะตนไปไม่ได้ ซึ่งตนถึงกับช็อกเป็นลมหายใจไม่ออกล้มวูบไป เมื่อทราบว่าน้องแมนยูแขนขาด แต่ขณะนั้น ตนก็ได้ยินเสียงน้องแมนยูตะโกนมาว่า "เบิ่งแม่ให้แหน่ ๆ ๆ (ดูแม่ให้หน่อย)” โดยหลังจากที่ตนกลับมาถึงบ้าน ตนมีความรู้สึกเป็นห่วงลูกมาก อยากรู้ว่าลูกปลอดภัยไหม จนทำให้นอนไม่หลับทั้งคืน ตอนแรกไม่รู้ว่าแขนขาด มารู้ตอนมาถึงที่เกิดเหตุ
นางคำหล้า ยังบอกด้วยว่า หลังจากที่น้องแมนยูได้สติหลังการผ่าตัด น้องแมนยูไม่ห่วงตัวเองแม้แต่น้อย โดยอาการของน้องแมนยูในตอนแรก กินข้าวได้น้อยแค่ 2-3 คำ บ่นว่าเจ็บแผลบ้าง อยากกินส้ม ตนได้บอกลูกว่า “หายเร็ว ๆ นะ แม่มองไม่เห็น มีอะไรบอกอานะ” ตนรู้สึกภูมิใจในตัวน้องแมนยูมากที่เป็นห่วงคนอื่นก่อนเสมอ ขณะนี้ตนรู้สึกสบายใจขึ้นที่เห็นบูกปลอดภัย แต่ก็ขอภาวนาให้แขนซ้ายน้องแมนยูกลับมาใช้งานได้อีกครั้งเหมือนปกติ
เหตุการณ์ในครั้งนี้ ตนเชื่อว่าเป็นเคราะห์กรรมของน้องแมนยู ตาบอดตั้งแต่เด็กแล้วยังมาแขนขาดอีก ซึ่งหลังจากนี้ตนจะทำบุญเรียกขวัญตามความเชื่อ ส่วนสามีก็จะขอเลิกสุราเพื่อลูก นอกจากนี้น้องแมนยูก็เคยคิดอยากจะบวชสามเณร ซึ่งยังหาโอกาสไม่ได้ จากนี้หากน้องแมนยูหายดีแล้ว ยืนยันว่าอยากบวชสามเณร ตนก็จะอนุญาตให้บวช
สำหรับเงินจากผู้ใจบุญที่บริจาคเข้ามา ตนซาบซึ้งในน้ำใจ ขอบคุณมากที่ยื่นมือเข้ามาช่วยน้องแมนยู ถ้าหากไม่มีคนช่วยเหลือ ตนก็ไม่รู้จะไปหาเงินมาจากที่ใด เพราะลำพังตนที่มีรายได้จากเบี้ยคนพิการ (ตาบอด) เดือนละ 800 บาท ส่วนสามีก็ได้เบี้ยคนพิการ (หูหนวก) 800 บาทรวมรายได้ทั้งหมด 1,600 บาท/เดือน ซึ่งสามีก็พยายามรับจ้างทั่วไป ได้ค่าแรงวันละ 300 บาท มาเลี้ยงดูครอบครัว แต่ก็ไม่ได้มีงานมาให้ทำทุกวัน ส่วนเงินบริจาคที่ทางผอ.โรงเรียนเปิดรับบริจาคนั้น ตนจะเก็บไว้ให้เป็นทุนการศึกษาน้องแมนยูต่อไป
ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีเดินทางเข้าไปพูดคุยกับ น.ส.ชนันธร ชสภักดี อายุ 38 ปี คู่กรณี เล่าให้ฟังว่า ตนขับรถยนต์ออกจากบ้าน เพื่อที่จะไปหาเพื่อนบ้านที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุ ซึ่งขณะที่กำลังขับรถออกมาก่อนถึง 3 แยก (จุดเกิดเหตุ) ตนสังเกตเห็นรถจักรยานยนต์คันสีดำผ่านกระจกมองหลัง ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากตัวรถของตนประมาณ 250 เมตร จึงชิดขวาเข้าขอบเส้นแบ่งถนนแล้ว ส่งสัญญาณไฟเลี้ยว เพื่อจะเลี้ยวขวาเข้าซอย
โดยขณะนั้นที่ตนอยู่ในระหว่างรอจังหวะเลี้ยว ก็ได้ยินเสียงรถชน ซึ่งตอนแรกไม่คิดว่าเป็นรถของตัวเอง แต่เมื่อมองออกไป ตนก็ได้เห็นพี่ชายของน้องแมนยูชูท่อนแขนที่ขาดขึ้นมา ตนตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูก พยายามตั้งสติแล้วลงไปพยุงตัวเด็ก และสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อลงจากรถมา ตนเห็นน้องแมนยูนั่งยอง ๆ โดยขณะนั้นน้องแมนยูยังไม่รู้ว่าตัวเองแขนขาด แต่เมื่อน้องแมนยูหันมาไม่เห็นแขนตัวเอง ก็ได้ร้องไห้โวยวายว่า "ไม่อยากแขนขาด ๆ จะต่อได้ไหม ไม่อยากเป็นคนพิการ" ตนจึงเข้าไปปลอบว่า "ต่อได้ใจเย็น ๆ " โดยหลังจากเกิดเหตุ ตนได้เดินทางไปที่ สภ.นาดินดำ กลับมาถึงบ้านเวลาประมาณ 21.00 น. รู้สึกเหนื่อยล้าจึงไม่ได้เข้าไปหาญาติน้องแมนยู แต่ตนก็ได้บอกชาวบ้านไว้ว่า หากมีการต่อแขนได้สำเร็จ ก็ขอให้ช่วยบอกด้วย
ทั้งนี้ตนมีความเครียดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กินข้าวไม่ได้นอนไม่หลับ แต่ในวันรุ่งขึ้น ตนก็ได้เดินทางไปเยี่ยมผู้เสียหายอีก 2 คน เด็กเล็กวัย 4 ปี และพี่ชายน้องแมนยู วัย 14 ปี ที่โรงพยาบาลในจังหวัดเลย แต่ไม่ได้ไปเยี่ยมน้องแมนยู เนื่องจากถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี อีกทั้งตนก็ไม่มีเบอร์ติดต่อทางญาติน้องแมนยูด้วย
ตนจึงได้บอกไปว่าตนก็ได้รับความเสียหาย รถตนยางแตก ตนก็ออกค่าซ่อมเอง และตนไม่ใช่ฝ่ายผิด แต่ตนก็มีความประสงค์ที่จะช่วยเหลือค่ารักษา จึงเอาสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท ไปจำนำ ได้เงินมา 20,000 กว่าบาท นำไปจ่ายค่างวดรถประมาณ 9,000 บาท กะว่าจะมอบเงินประมาณ 11,000 บาท ให้น้องแมนยู แต่ขณะนี้ก็ยังไม่ได้ให้ ขอรอให้อีกฝ่ายใจเย็นลงก่อน
ส่วนตัวอยากบอกกับครอบครัวน้องแมนยูว่า ก่อนที่จะเรียกร้องอะไรให้ดูสถานการณ์ก่อน ว่าครั้งนี้คืออุบัติเหตุ ตนไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น หลังจากนี้ตนจะไปหาครอบครัวของน้องแมนยูหรือไม่นั้น ตนขอดูสถานการณ์ก่อน อาจจะรอให้อีกฝ่ายใจเย็นลงกว่านี้
ความคืบหน้าทางคดี พ.ต.อ.ธนกฤติ ลาภอิทธิสันต์ ผู้กำกับการ สภ.นาดินดำ เปิดเผยว่า เบื้องต้นมีการลงบันทึกประจำวันไว้ ส่วนเรื่องคดีความ ยังต้องผลตรวจร่างกายจากโรงพยาบาล และสอบปากคำพยานเพิ่มเติม จึงจะสามารถสรุปคดีได้ว่าใครคือคนถูกคนผิด