วันนี้ (25มี.ค.68) เมื่อเวลา 21.18 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้อภิปรายชี้แจงรอบที่ 2 ในการประชุมอภิปรายไม่ไว้วางใจ ระบุว่า เป็น 2 วันที่ได้ยินชื่อตนเองมากที่สุดในชีวิต ซึ่งเชื่อว่าทุกท่านได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ ซึ่งอะไรที่เป็นเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์จะส่งผลดีต่อประชาชน ส่วนที่กระทบกระทั่งกันบ้างถือว่าเป็นเรื่องปกติ และคิดว่าเราสามารถทำงานร่วมกันต่อไปได้
ทางผู้นำฝ่ายค้านฯ ได้เน้นย้ำถึงภาวะผู้นำ และการถูกครอบงำหลายครั้ง ส่วนคนที่ย้ำเรื่องเดิมๆหลายครั้ง ไม่แน่ใจว่า นั่นคือสิ่งที่ตนเองขาดหรือไม่ ซึ่งจะไม่คิดแบบนั้นก็ได้ เพราะไม่ใช่มีแค่ตัวเองที่ถูกกล่าวหาเรื่องของการถูกครอบงำ ท่านถูกกล่าวหาว่าถูกครอบงำเช่นเดียวกัน แต่ต่างกันตรงที่ตนเองถูกกล่าวหาว่าถูกครอบงำโดยคุณพ่อ แต่ของท่านถูกครอบงำจากคนที่ไม่ใช่พ่อ ซึ่งไม่อยากให้ใครมาพูดเช่นนี้ ตนเองเคารพและให้เกียรติผู้นำฝ่ายค้านฯ และไม่เคยสงสัยในภาวะผู้นำของท่าน ความเป็นจริงเรามีอายุใกล้เคียงกัน ควรมีความเข้าใจกัน และเส้นทางทางการเมืองก็มีความคล้ายกันอยู่ ซึ่งการมาอยู่ตรงนี้ได้ เราทั้งคู่ก็เจอกับชะตากรรมของพรรคการเมือง เพราะหากพรรคของตนเอง ไม่ถูกกระทำทางการเมืองในวันนี้ เราอาจจะยังมีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ นายทักษิณ ชินวัตร ก็ได้ และพรรคของท่าน อาจจะยังมีหัวหน้าพรรคชื่อ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็ได้ ซึ่งความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่ชะตากรรมทางการเมืองมาแบบนี้ ซึ่งเราควรต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด และการด้อยค่าคนอื่นตนคิดว่าอย่าทำเลย
นายกรัฐมนตรี ยังระบุอีกว่า การที่ตนเองเป็นลูกสาวนายทักษิณ แน่นอนว่าถูกวิจารณ์และปรามาส มาตั้งแต่เป็นนิสิตนักศึกษา จวบจนมาถึงทุกวันนี้ที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรและคงไม่ใช่เรื่องเสียหายเช่นกัน ที่ตนจะรับฟังและนำคำแนะนำของนายทักษิณ มาใช้หรือพิจารณา เพราะนายทักษิณ ก็เป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถ เป็นที่ยอมรับ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ หากความคิดของนายทักษิณ จะเป็นประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชน ตนก็มั่นใจว่าจะเป็นสิ่งที่ดี นอกจากนี้ยังมีนักการเมืองอีกหลายคนที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองจากการยุบพรรค แต่ทุกคนก็ยังเดินหน้าทำงานการเมืองอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำนโยบาย การเดินหาเสียง ยังสามารถทำได้ แต่ทำไมเป็นนายทักษิณ คนเดียว ที่ทำแล้วเป็นประเด็น หรือว่านายทักษิณ ถูกตัดสิทธิ์ยกกำลังสองซึ่งก็ไม่แน่ใจ
นายกรัฐมนตรี ยังชี้แจงเรื่องของการส่ง 40 อุยกูร์ กลับประเทศจีน ว่า ขณะนี้ยังไม่มีกฎหมายผู้ลี้ภัย หากมีการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ต้องถูกดำเนินคดีตามขั้นตอน โดยจะยึดหลักมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน ซึ่งการกักขังชาวอุยกูร์ เป็นระยะเวลา 10 ปี ขณะที่ประเทศจีนที่เป็นประเทศแม่ ก็แสดงเจตจำนงขอรับ และมีการทวงถามโดยที่ประเทศที่ 3 ไม่เคยมาทวงถามอย่างเป็นทางการ ซึ่งรัฐบาลได้พูดคุยกับประเทศจีน และต้องการให้มั่นใจในเรื่องความปลอดภัย ซึ่งทางประเทศประเทศจีนมีความจริงจังในการทำหนังสือออกมา ถือเป็นพันธะสัญญากับสังคมโลก รัฐบาลไทยจึงรีบส่งกลับไป ซึ่งคณะของนายภูมิธรรม เดินทางไปจีนและยืนยันว่าทุกคนปลอดภัย ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีสำหรับทุกฝ่ายและดีกับประเทศไทย ส่วนที่มีบางประเทศมาประณามหรือไม่ยอมรับ ซึ่งประเทศไทยเคารพทุกความคิดเห็น สิ่งที่เราสามารถทำได้คือการใช้เวลาและอธิบาย เพื่อให้ทุกประเทศเข้าใจ เพราะประเทศเหล่านั้น ไม่ทราบว่าไทยกับจีนพูดคุยอะไรกัน จึงถือว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้และไม่แปลก และการกล่าวหาในเรื่องนี้อยากทราบว่า ได้มองครบทุกมิติในโลกแล้วหรือไม่ และการเป็นนักสิทธิมนุษยชนที่ใช้มาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ก็ไม่แน่ใจว่าท่านใช้สองมาตรฐานหรือไม่ กับรัฐบาลนี้โดยเฉพาะหรือไม่ เพราะเท่าที่จำได้ไม่มีนโยบายจากพรรคการเมืองไหนเลย ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้ลี้ภัย ซึ่งสามารถใช้เวทีนี้ประกาศไปเลยว่าจะตามที่ผู้ลี้ภัยต้องการทุกกรณี หรือจะมีแนวทางอย่างไรบ้าง ประชาชนจะได้รับฟัง
ขณะที่เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย ที่เป็นฝ่ายค้านร่วมกันเคยลงสัตยาบัน เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญหลายครั้ง แต่ทำไม่สำเร็จ และเมื่อเพื่อไทยเป็นรัฐบาลก็ได้แถลงนโยบายดังกล่าวต่อรัฐสภา ซึ่งจุดยืนคือการแก้ไขโดยไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 แต่ข้อกฎหมายที่ซับซ้อนทำให้การแก้ไขดำเนินการไปได้ยาก และมีข้อเห็นต่างจากพรรคร่วมรัฐบาลและวุฒิสภา เช่น จำนวนครั้งในการทำประชามติ ซึ่งเราพยายามเดินต่อไปข้างหน้า และที่พวกท่านเรียกร้องให้แสดงภาวะผู้นำ ตนได้ทำอยู่ตลอดเวลา และมีการหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลตลอดในทุกนโยบาย เพื่อแสวงหาจุดร่วมสงวนจุดด่างให้ชัดเจน ล่าสุดโดยล่าสุดพรรคร่วมรัฐบาล มีจุดยืนร่วมกันที่จะส่งเรื่องนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา แม้ว่าจะช้าหรือไม่ทันใจแต่ถือเป็นโอกาสแห่งความสำเร็จ
“สำหรับภาวะผู้นำของตนต้องมีความอดทน ที่เป็นผู้นำรัฐบาลจากพรรครวมหลายพรรค และต้องมีเหตุผลและต้องมีความจริงใจ หากดันทุลังไปแล้วพังทุกรอบจะไม่เป็นผลสำเร็จ” ขณะที่วันนี้มีสมาชิกมีที่อภิปรายเรื่องการต่อสู้ของประชาชน ซึ่งรัฐบาลนี้เคารพต่อสิทธิและเสรีภาพการแสดงออกของทุกฝ่าย และไม่เคยลืมว่าครั้งหนึ่งเคยบอบช้ำและเจ็บปวดแค่ไหน ซึ่งพรรคของเราเต็มไปด้วยนักการเมืองที่ต่อสู้เคียงข้างประชาชนคนเสื้อแดงหลายคน และมีลูกหลานของคนเสื้อแดงที่อยู่ในพรรค ถึงจะไม่ได้พกหมวกหรือผ้าพันคอมา แต่เราก็แสดงเรื่องนี้อย่างจริงใจและอยู่ในใจเสมอ
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงดีลแลกประเทศ ว่า หากคำว่าดีลหมายถึงการเจรจาหาข้อสรุปร่วมกัน การเมืองทุกทุกที่บนโลกใบนี้ต้องมีดีล และก่อนหน้านี้รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยก็เคยดีล กับพรรคของท่าน และพรรคของท่านก็มาดีลกับพรรคของเรา แล้วเราก็ยกมือโหวตให้กับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากพรรคของท่าน ด้วยความเชื่อที่ว่าพวกท่านสามารถรวมเสียงจากสมาชิกวุฒิสภาสำเร็จแล้ว ซึ่งเป็นการดีล เช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นระดับสองคน หรือระดับทุกคนในพรรค จึงทำให้เราดีลด้วย ซึ่งที่ผ่านมา เรารักษาคำพูดของเราเสมอ ซึ่งท่านก็ดีลกับเรามาเสมอเช่นกัน เมื่อปี 2562 พรรคเพื่อไทยก็ดีล กับพรรคของท่าน ที่มาดีลกับเราให้ยกมือกลับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคท่าน ที่ ขณะนั้นพักของท่านมีเสียงสส. เป็นอันดับ 3 และเมื่อการเลือกตั้งปี 2566 ท่านเป็นพรรคอันดับหนึ่ง มาดีลกลับพรรคเราซึ่งก็ตอบ แล้วก็ยกมือให้กับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคท่านอีกครั้ง ซึ่งครั้งแรกไม่ผ่านเราก็ยกมือให้กับท่านเป็นครั้งที่สอง ตามที่ดีลกันไว้ และยกมือให้กับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคท่านมาโดยตลอด
แต่เท่าที่จำได้ท่านไม่เคยยกมือให้กับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเราเลย และเมื่อท่านตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ เราก็เดินหน้าตั้งรัฐบาลต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องปกติของระบบรัฐสภา ซึ่งรู้ดีว่าการตั้งรัฐบาลครั้งนี้เราต้องพบเจอกับความยากลำบาก ต้องอธิบายให้ประชาชนฟัง แต่ว่าเรามีความตั้งใจอย่างมากที่จะผลักดันนโยบายสู่ประชาชนจริงๆ ซึ่งตัวเลขได้บ่งบอกว่าศักยภาพของประเทศไทยเติบโตช้ามาเป็นระยะเวลา 10 ปี เพราะฉะนั้นหากไม่เริ่มแต่วันนั้นจะมีนโยบายที่ออกไปถึงมือประชาชนแบบวันนี้หรือไม่ การที่ กล่าวหาว่านโยบายไม่ตรงปก แต่เงิน 10,000 ถึงมือประชาชน ไปถามประชาชนแล้วหรือยังว่ามีความสุขกับสิ่งนั้นหรือไม่ ซึ่งการกระตุ้นเศรษฐกิจ เกิดขึ้นแล้ว หากไม่กระตุ้นเลยจะกระเตื้องแบบนี้หรือไม่ หากไม่เริ่มนับหนึ่งตั้งแต่วันนั้น วันนี้ก็ยังคงจะติดลบอยู่ และเมื่อไหร่ประเทศไทยจะเคลื่อนไปข้างหน้า ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลหรือพรรคเพื่อไทยต้องแบกเรื่องนี้ไว้และทำความเข้าใจกับประชาชน เป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยภูมิใจที่ได้ดำเนินนโยบายต่างๆ และเดินสายไปต่างประเทศนำเงินเข้าประเทศ แล้วทำให้การลงทุนของประเทศไทย สูงสุดในรอบ 10 ปี ทั้งที่เราเป็นรัฐบาลยังไม่ถึงหนึ่งปี เป็นเพียง 6 เดือนเท่านั้น
นายกรัฐมนตรี ยังเชื่อว่า ไม่มีใครที่อยากถูกกล่าวหา ซึ่งในวันนี้ให้เกิดความชัดเจน และสร้างการเมืองแบบใหม่ ก็ให้ท่านประกาศให้ชัดเจนเลยว่าสมัยหน้าท่านจะร่วมหรือไม่ร่วมกับใคร พูดให้ชัดเสียตั้งแต่วันนี้ ประชาชนจะได้เกิดความสบายใจ.
Advertisement