“อัจฉริยะ” แฉเงิน 39 ล้านของเจ๊อ้อย อยู่กับทนายตั้ม หยุด “โกหกหน้าตาย” แม้แถจนใจจะขาด เพราะจุดจบก็คือเรือนจำสถานเดียว
นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ให้สัมภาษณ์ประเด็นที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด “ทนายตั้ม” ออกมาแถลงข่าวที่กองปราบปราม เมื่อวานนี้ ว่า ก็รู้สึกเห็นใจทนายตั้ม และเชื่อว่าวันนี้เขาได้ฟังเพลงศรเพชร ศรสุพรรณ ก็คือใจ”จะขาด” เพราะสิ่งที่เขาออกมาแถลง เรื่องเงิน 39 ล้านบาท ตนขอชี้แจงว่า ตนเป็นผู้ที่รู้ข้อเท็จจริง เรื่องเงิน 39 ล้าน ว่าสิ่งที่ทนายตั้มพูด “โกหกหน้าตาย” และที่ทนายตั้ม บอกว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย พยายามโยนให้ไปที่อนุวัฒน์ กับสา สองสามีภรรยา ตนเองยืนยันว่า ทนายตั้ม ลืมไปหรือเปล่า คนที่เบิกเงินให้ทนายตั้มที่มีอักษรย่อม ม. ชื่อคล้ายนักแสดง ที่ทนายตั้ม เคยช่วยคดียาเสพติด เป็นคนไปเบิกเงินให้ทนายตั้ม แล้วทนายตั้มก็ได้เงินไป 39 ล้าน แล้วเอาไปแบ่งกัน
นายอัจฉริยะ ยังบอกว่า เรื่องนี้สืบเนื่องจากว่าได้มีการตรวจสอบพบว่า นายนุ กับสา ไปที่สน.บางซื่อ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 และมีการลงบันทึกประจำวันที่สน.บางซื่อ ว่ามีการโอนเงินจำนวน 7 ครั้ง รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นล้านกว่าบาท (ไม่ใช่ 39 ล้านบาท) และบัญชีที่โอนไป ไม่รู้ว่าเป็นบุคคลใด จึงขอให้พนักงานสอบสวน ช่วยดำเนินการตรวจสอบ และติดตามหาคนร้าย ซึ่งก็ไม่ตรงและเงิน 39 ล้านที่ได้มาก่อนที่จะไปลงบันทึกประจำวัน ซึ่งทนายตั้ม เป็นคนพาณุกับสา ไปพบพี่อ้อย แล้วก็ร้องห่มร้องไห้ทำให้พี่อ้อย หลงเชื่อ และได้โอนเงินเข้าบัญชี ของสา จำนวน 39 ล้าน เมื่อได้เช็คมาแล้ว ก็เอามาให้น้องม.ซึ่งน้องม.จะไปเกี่ยวพันกับทนายตั้ม หลายเรื่อง เรื่องการออกแบบโรงแรม น้องม.ก็เป็นคนไปดิว กับสถาปนิกผู้ออกแบบและน้องม. ก็ไปเบิกเงินจำนวน 39 ล้านและนำมามอบให้กับทนายตั้ม และทนายตั้มก็เอาเงิน 39 ล้านนี้ไปแบ่งกัน ซึ่งสามารถยืนยันได้
เมื่อนักข่าวถามว่า การที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลแบบนี้ กังวลถึงการไปคืนดีกับทนายตั้มหรือไม่ นายอัจฉริยะ บอกว่า ไม่ เพราะอยากให้ทุกคนรู้ความจริง ในขณะนี้น้องม.ก็สอบปากคำอยู่กับตำรวจปราบปราม ยืนยันว่าเป็นคนเบิกเงินให้กับทนายตั้ม 39 ล้านบาท
ส่วนความสัมพันธ์ของทนายตั้มกับน้องม.เป็นเหมือนกับลูกจ้างนายจ้าง ซึ่งน้องม.เป็นพยานอีกคนหนึ่ง ที่เป็นคนสนิทของทนายตั้ม นอกจากเบียร์
ส่วนเมื่อวานนี้ที่ทนายตั้มฝากบอกว่าอัจฉริยะก็คืออัจฉริยะ นั้น ก็อยากฝากบอกเขากลับว่า “เลิกโกหกหน้าตายได้แล้ว 6 ปีที่ผ่านมาก็โกหกแบบนี้ โกหกซ้ำซาก มาตลอด” เพียงแต่ว่าตน พูดกับเขาตลอดเวลาว่าคุณโกหกได้โกหกไป วันหนึ่งความจริงก็ต้องปรากฏและเมื่อวานที่เราเห็น ก็มีการไปใส่ร้ายตำรวจ หาว่าไปอุ้ม คนชื่อเบียร์ มาซึ่งจริงๆ คนชื่อเบียร์ มาด้วยความเต็มใจ ไม่ได้มีการไปบังคับขู่เข็ญอะไรเลย รวมถึงตัวน้อง ม. ก็เต็มใจที่จะมาให้การกับตำรวจไม่ได้มีการบังคับขู่เข็ญ
นายอัจฉริยะ ยังบอกว่า ส่วนตัวเชื่อว่าทนายตั้ม ไม่รอด ทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่บอกว่าให้เงินโดยเสน่หาก็ไม่จริง เรื่องเงิน 39 ล้านนี่ก็ชัดมาก และเงินอยู่ที่ทนายตั้ม ไม่ได้อยู่ที่นุหรือสา แต่เงินอยู่ที่ทนายตั้มคนเดียว โดยมีน้องม.ไปเบิกเงินให้
ส่วนกรณีที่ทนายเดชา มีการแถลงข่าวเมื่อวานนี้ นายอัจฉริยะ บอกว่า ถ้าไม่รู้ก็ให้อยู่เงียบๆ เพราะจะทำให้สังคมเข้าใจผิดว่าทนายเดชาอยู่ฝั่งทนายตั้ม เพราะฉะนั้นขอให้ทนายเดชา อยู่เงียบๆจะดีกว่า เนื่องจากทนายตั้มไม่มีหลักฐานเด็ดตามที่กล่าวอ้าง โดยสามารถดูจากแววตาว่าทนายตั้มมีความกังวลเรื่องที่จะถูกออกหมายจับเป็นอย่างมาก
และถึงแม้ว่าตนกับทนายตั้มจะเคยทำสัญญาสงบสุขกันเมื่อไม่นานมานี้ ถ้าหากจะตัดขาดความสัมพันธ์กันอีกครั้ง ตนก็ไม่ได้มีความกังวลแต่อย่างใด โดยตอนนี้ทนายตั้มฟังได้อยู่เพียงแค่ 2 เพลงเท่านั้นคือ เพลงโกหกหน้าตาย และเพลงใจจะขาด ซึ่งภายในวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายนนี้ ตนเตรียมแฉทนายตั้ม เรื่องการปลอมแปลงสูติบัตร และบัตรประชาชน ที่เป็นข่าวดังเมื่อปลายปี 2566 และเรื่องนี้มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ต.เต่า รู้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้นายอัจฉริยะยังยืนว่า ภายในสัปดาห์นี้ มีOperation หมายถึงปฏิบัติการ โดยคาดว่า พนักงานสอบสวนสามารถออกหมายจับทนายตั้มกับพวกได้อย่างแน่นอน เพราะมีการสอบปากคำ นางสาว ม.ม้า แล้ว ซึ่งเป็นพยานปากสุดท้ายที่มีความสำคัญมาก
และนายอัจฉริยะ ยังบอกว่า จุดจบของทนายตั้ม ก็คือเรือนจำสถานเดียว และจากนี้คงไม่มีรูปถ่ายคู่กันอีก เพราะเขาไปอยู่เรือนจำแล้ว ก่อนจะทิ้งท้ายว่า “กรรมใครกรรมัน”
Advertisement