Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
10 ปี "แม่น้องการ์ตูน" การต่อสู้กับความเจ็บปวด ความยุติธรรมที่ไร้หวัง

10 ปี "แม่น้องการ์ตูน" การต่อสู้กับความเจ็บปวด ความยุติธรรมที่ไร้หวัง

3 มี.ค. 68
23:03 น.
|
30
แชร์

10 ปีที่ต้องสู้กับความเจ็บปวด ของ "กอล์ฟ ศรัญญา ชำนิ" แม่ของน้องการ์ตูน ที่เคยตกเป็นข่าวดังจากกรณีเหตุการณ์รถกระบะซิ่งพุ่งชนร้านในปี พ.ศ. 2557 ทำให้น้องการ์ตูน ลูกสาววัย 5 ขวบต้องพิการตลอดชีวิต ส่วนสามีจากไปตลอดกาล กลายเป็นความเจ็บปวดที่ทำให้เธอแทบตายทั้งเป็น

กอล์ฟ ศรัญญา เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันที่ 19 กันยายน 2557 ตอนนั้นน้องการ์ตูนอายุ 5 ขวบ อยู่ชั้นอนุบาล 3 เราเพิ่งไปรับกลับมาจากโรงเรียน ก่อนที่น้องจะโดนรถชนเรายังคุยกันเรื่องน้องทำข้อสอบได้ไหม เพราะวันนั้นคือการเรียนวันสุดท้าย เราถามลูกว่าทำข้อสอบได้ไหม น้องก็ถามกลับว่า ทำไมหรอ ถ้าหนูทำไมไม่ได้ จะไม่ภูมิใจในตัวหนูหรอ เราก็บอกเปล่า ทำได้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เขาก็บอกเรื่องหมูๆ เองคุณแม่

ระหว่างที่เก็บร้านสเต็กกันอยู่ น้องอยู่ข้างนอกกับคุณพ่อ แม่อยู่ในครัวกับคุณตาคุณยาย แล้วน้องก็เดินเข้ามาบอกว่าคุณแม่ทอนตังค์หน่อยแบงค์พันค่ะ ตอนนั้นยังอยู่ร้านเดิมที่บางบอน เสร็จแล้วน้องก็วิ่งออกไป ไม่เกิน 5 วินาที ก็ได้ยินเสียงโครม!! ดังเหมือนแก๊สระเบิด

เราดูจากกล้องวงจรปิดเห็นเป็นรถกระบะขับแข่งกันมา 3 คัน คันของเขาคือคันที่เสียหลัก ซึ่งถ้าเขาไม่หักเข้าร้านเรา เขาอาจจะต้องเสียชีวิต เพราะถ้าเขาหักไปทางขวามันเป็นเลนถนนสวน เขาเลยหักเข้าทางนี้แล้วเขาก็ไม่เป็นอะไรเลย แต่เขาชนเต็มๆ เข้าบ้านเรา

เราวิ่งออกมาจากห้องครัว เห็นร้านพัง ควันฟุ้งไปหมด ปูนแตกกระจาย รถเราโดนชนเข้ามา แต่ไม่เห็นลูกไม่เห็นสามี เราก็วิ่งตามหา คุณตาก็วิ่งไปดูข้างบน ได้แต่ภาวนาให้เขาอยู่ข้างบนบ้าน แต่สุดท้ายเราเอ๊ะใจก็เลยวิ่งไปใกล้ๆ ป้ายชื่อร้าน ก็เจอว่าน้องและพ่อนอนกอดกันอยู่ข้างป้ายชื่อร้าน

ตอนที่เห็นสภาพน้องตั้งแต่ตรงคอลงมาไม่ได้มีรอยบาดเจ็บอะไรเลย มีแค่สมองอย่างเดียว สมองน้องไหลออกมา คือคุณพ่อเอาตัวบังน้องไว้ เราส่งน้องไปโรงพยาบาลก่อน ส่วนคุณพ่อรอรถมูลนิธิมารับ ไม่เกิน 5 นาที เขามาถึงก็ปั้มหัวใจไม่เกิน 15 นาทีเจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่าสามีเสียชีวิตแล้ว

เราเสียสามีในที่เกิดเหตุ แล้วระหว่างนั้นอีกวันนึงลูกอยู่โรงพยาบาล ตอนเย็นอีกวันนึงจัดงานศพ จัดงานเสร็จกลับมาโรงพยาบาล เปลี่ยนเสื้อผ้าที่ไม่ใช่ขาวดำเพื่อไปเยี่ยมลูก ทำอยู่อย่างนี้ประมาณ 6-7 วัน จนวันเผาสามี

สูญเสียสามี และเกือบสูญเสียลูกไปอีกคน

คุยกับคุณหมอ คุณหมอก็พูดว่าคุณแม่ คุณตาคุณยายทำใจนะคะ ม่านตาน้องเหลือ 10 % น้องน่าจะไม่รอดแล้ว สภาพศีรษะของน้อง แกนสมองมันเปิดออกมา ในชีวิตนี้เราไม่เคยเห็นสมองใคร แต่ต้องมาเห็นสมองลูกตัวเองที่เปิดออกมา น้องโดนตรงนี้เต็มๆ ตรงอื่นไม่มีอะไรเลย มีแผลตรงหัวไหล่แค่นิดหน่อย นอกนั้นกระดูกแขนขาไม่มีหักเลย

แม่เองพูดกับน้องขณะที่เขานอนอยู่ว่า "น้องสู้ไหม พ่อสู้พ่อปกป้องน้องจนได้ขนาดนี้แล้ว น้องไหวไหม ถ้าไหวก็ขอให้สู้ ถ้าไม่ไหวก็ไปได้เลย" หลังจากนั้นสักครึ่งชั่วโมงออกมานั่งรอ อยู่ๆ คุณหมอก็โทรศัพท์มาบอกว่า ทุกอย่างของน้องมันดีดขึ้นมา สามารถเคลื่อนย้ายไปทำอย่างอื่นจากตอนแรกที่ทำไม่ได้ ย้ายไปผ่าตัดได้ ไม่ใช่ว่าน้องอาการดีขึ้นทีเดียวนะคะ น้องผ่าตัดเยอะมาก เป็นเด็กที่ต้องโดนผ่าเยอะมากในช่วงอายุ 5 ขวบ ทั้งคอ ทั้งท้อง ทั้งทำสายชั้นน้ำเปลี่ยนมาประมาณ 6-7 จุด จนกว่าจะคงที่ไม่ให้ไข้ขึ้นได้

หัวอกแม่แสนเจ็บปวด แต่ก็ต้องสู้...หาเงินรักษาลูก

หลังจากนั้นประมาณ 2 เดือน ตัดสินใจมาเปิดร้านที่ราษฎร์บูรณะ ในระหว่างที่ลูกยังอยู่ ICU เพราะเราไม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายมันจะบานปลายแค่ไหนในตอนนั้น วันแรกเปิดขายกับคุณตาสองคน ไม่มีใครเลย ซึ่งคุณตาก็แก่มากแล้ว เราก็ปิ้งก็ทำของเราไป ไม่คิดว่าคนจะมากินเยอะมาก กว่าจะได้กลับบ้านก็ตี 2 แล้วต้องกลับไปดูน้องก่อนถึงจะได้กลับไปนอนที่โรงพยาบาลแล้วก็กลับมาร้านใหม่ ตอนเช้าไปซื้อของเตรียมของ จนต้องเริ่มมีลูกน้องมาช่วย

ถามว่าเหนื่อยไหม ถ้าจะบอกว่าไม่เหมือนมันคือการโกหก มันเหนื่อย แต่บางทีเราก็ทนไหวก็ยังทน แต่บางทีเราทนไม่ไหว ก็รู้สึกว่าเราต้องทนขนาดไหนให้มันผ่านไปได้ บางทีเราก็รู้สึกว่ามันยากสำหรับเรานะ แต่เราก็ต้องต่อสู้ให้ได้ พอกลับมามองหน้าลูกมองหน้าพ่อแม่ตัวเองแล้วคิดว่า ถ้าเธอไม่อยู่แล้วใครจะดูแลเขา

แบกรับค่ารักษาลูกเพียงคนเดียว

รักษาตั้งแต่วันแรกจนออกจากโรงพยาบาลมา ค่าใช้จ่าย 3.8 ล้านบาท ตอนนั้นต้องติดโรงพยาบาลไว้เลย ตอนแรกคุยกับโรงพยาบาลเขาให้ผ่อนจ่ายเดือนละ 89,000 บาท เอาจริงนะขายของไม่มีทางได้ถึงหรอกเดือนละ 89,000 บาท ก็เลยคุยกับพี่ทนายดูว่าเดี๋ยวลองดู ยังไงโรงพยาบาลก็ต้องฟ้องอยู่แล้ว เขาจะฟ้องสองคนคือคู่กรณีกับเรา สุดท้ายมันมีจดหมายเตือนมาที่บ้านจริงๆ แต่คนที่โดนฟ้องจริงๆ คือตัวเรากับคุณยาย เพราะคุณยายไปถึงโรงพยาบาลคนแรก คุณยายเซ็นชื่อก่อน แล้วเป็นเราที่เซ็นคนที่สอง

ตอนนั้นไม่รู้จะทำยังไง แอดมินเพจของร้านก็เลยเปิดรับบริจาคให้ โดยที่เราไม่รู้ด้วย มารู้อีกทีคือเปิดแล้ว จนสุดท้ายเราตัดสินใจลบโพสต์ที่แอดมินเพจเปิดรับบริจาค ลบทิ้งเลย ยอดเงินถึงค่อยๆ หยุด เราได้วันนั้นไป 7 ล้านบาท ซึ่งมันไม่ใช่ภาระที่ประชาชนต้องมารับผิดชอบกับการกระทำของคนๆ หนึ่ง แล้วเราก็ไม่อยากให้ตัวเรากับลูกเราเป็นภาระของสังคมด้วย ทั้งๆ ที่คนอื่นเขาไม่ได้มากระทำเรา

ทวงคืนยุติธรรมให้ลูกสาว

ขึ้นศาลเจอคู่กรณี ก็ไม่เคยคุยกัน สุดท้ายศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา ให้จ่าย 6 ล้าน เราก็สู้อุทธรณ์ต่อ โดยการขอเพิ่มโทษ เขาก็สู้อุทธรณ์โดยการขอลดโทษ ไม่ให้ตัวเองติดคุก ก็ยื่นฎีกาต่อเลย แต่ศาลฎีกาก็ไม่รับฟ้องทั้งสองคน ศาลฎีกายืนตามศาลชั้นต้น เขาก็เลยโดนจำคุก 1 ปี จนตอนนี้ออกมาแล้ว ซึ่งน่าจะติดไม่ถึงปีด้วยซ้ำ เพราะเขาท้อง เราต้องหาทนายเพื่อไปจ้างสืบทรัพย์คู่กรณีเอาเอง เพราะไม่มีใครมาช่วยเราแล้ว ทนายก็บอกให้เก็บเงินไปรักษาลูกเหอะพี่ เพราะว่าสืบมาก็ไม่มีทรัพย์ เอาจริงๆ คนเราถ้าไม่มีถึง 6 ล้าน พี่เข้าใจนะ อายุเขายังน้อยอยู่ เงิน 6 ล้านมันจำนวนค่อนข้างเยอะ ต้องถูกรางวัลที่ 1 เลยมั้งถึงจะได้ แต่ถ้าเขามีจิตสำนึกสักนิดว่า พี่เดือนนี้หนูมีให้ 500 เดือนนี้หนูมีให้ 2,000 เดือนนี้หนูให้แพมเพิร์สน้องได้ไหม หรือขอโทษเราจากใจจริง เราก็ยังพอเข้าใจได้

แต่สิ่งที่เขาทำเขาไม่เคยขอโทษเราเลย ขอโทษครั้งเดียวตอนตำรวจบังคับให้ขอโทษ อันนั้นเราจำได้แม่น จำได้ทุกภาพอยู่แล้ว สิ่งที่เราจำได้คือเป็นสิ่งที่เขากระทำเรา จำได้เสมอว่าคุณไม่เคยขอโทษ คุณไม่เคยมางานศพ ไม่เคยมาเยี่ยมน้อง คนที่คิดได้แค่นั้นก็เลยไม่มีสามัญสำนึกอะไร จนบัดนี้ก็ยังไม่มี

10 ปี ที่ต้องสู้กับความเจ็บปวด

สู้มาจน 10 ปีแล้ว ดูแลเด็กคนหนึ่งจากเด็กหญิงจนน่าเป็นนางสาวแล้ว มันก็ต้องมีความเหนื่อยความท้อบ้างเป็นธรรมดา จนเรามามองย้อนว่า มันไม่มีความยุติธรรมกับเราจริงๆ เลยหรอ เหมือนเราติดคุกตลอดชีวิตแทนนะ มันเหมือนตายทั้งเป็น

เขาติดแป๊บๆ ก็ได้ออกมาได้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป แต่เราไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไปได้ เพราะว่าเราขายของคนเดียว รายได้ไม่ได้มาก ไม่ใช่มีแค่น้องที่เราต้องดูแล เรามีพ่อแม่ของเราอีก 2 คน ที่ไม่ได้ทำงาน ต้องบอกก่อนว่าน้องมีค่าใช้จ่ายประจำกับค่าใช้จ่ายที่แล้วแต่ร่างกายเขา น้องมีผ่าตัดมาหลายรอบมาก รอบแรกคือผ่าตัดมดลูก เพราะกระเพาะน้องโตขึ้น โตเร็วแล้วก็มีประจำเดือน มันมีภาวะเสี่ยง เราเคยคิดว่าค่าใช้จ่ายที่ใช้ดูแลรักษาน้องมาเป็นจำนวนเงินเกิน 10 กว่าล้านแล้วมั้ง

เพราะแต่ละวันน้องต้องใช้แพมเพิร์ส ใช้แผ่นรองซับ สายดูดเสมหะ ที่ใช้ประจำเลยนะคะ แล้วก็สำลี อุปกรณ์ทำแผล น้ำเกลือ ประมาณนี้ ส่วนการกินจะมีอยู่สองแบบคือฟรีซอาหารกับทำเอง คือซื้อปลา ไก่ ผัก ข้าว ไข่ วันละ 6 ใบ อีก 2 มื้อเป็นนมที่น้องต้องกินสลับกับข้าว

ยอมทำทุกอย่างที่ได้เงินมารักษาลูก

โชคดีที่แม่มีคุณตาคุณยายแล้วก็พี่สาวคอยช่วยดูน้อง แม่ก็จะมาขายของ บางทีกลับไปนอนกับน้องบ้าง บางทีก็นอนที่ร้านบ้างเพราะบางวันเราเจอสิ่งสกปรกเยอะ น้องเคยติดเชื้อลงปอดซึ่งมันค่อนข้างอันตรายมาก ไลฟ์สดขายของถึงตี 4 ตอนนั้นขายหลายอย่าง ขายตุ๊กตา เสื้อผ้า ชุดนอน ขนมญี่ปุ่น-เกาหลี แล้วแต่รอบ คือทำอะไรก็ได้ที่ได้เงิน ขายข้าวแกงเสร็จก็มีสเต็กด้วย มีเปิดขายกะเพราเปิดร้านยำ จนสุดท้ายพี่ไม่ได้ขายยำต่อ ขายได้เดือนเดียว ลูกค้าบ่นเลยว่าทำไมพี่ไม่ได้ขาย เพราะพี่เป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรง หมอบอกให้หยุด เพราะเราทำงานเกินไป ร่างกายคุณยืนตั้งแต่บ่าย 3 จนถึง 3 ทุ่ม แล้วเป็นคนยำเอง ยืนหมุนไปหมุนมา

เจ็บปวดฝังใจ จนกลายเป็นซึมเศร้า

จริงๆ มีภาวะที่รู้สึกมานานแล้ว ก่อนหน้านั้นประมาณ 5-6 ปีที่แล้ว เราไปหาคุณหมอก็ได้ยามากินตลอด แต่การกินยาทุกวัน ตื่นเช้ามาแล้วมีอาการวิ้งๆ ตลอดเวลา ร่างกายมันทำงานไม่ไหว ทุกครั้งที่เราหลับตา สมองเราไม่หลับเลย มันจะเห็นภาพรถชน ภาพลูกสมองไหล ภาพแฟนนอนอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ก็ยังกินยายังกลับไปหาคุณหมอ หลังจากวันนั้นที่ดิ่งมากๆ รู้สึกทุกอย่างมันดาวน์ไปหมด เหมือนกับช่วงนั้นคือจุดที่มันหายใจไม่ออก กระอักกระอ่วน ไม่อยากอยู่แล้วเพราะมันเหนื่อยมาก บางทีเราอยากจะบอกคนว่าฉันเหนื่อยมาก แต่ฉันแค่พยายามเข้มแข็งเพื่อให้คนอื่นเข้าใจว่าฉันเข้มแข็ง แต่ฉันก็มีมุมที่ฉันเหนื่อย อยากพักบ้างจัง

ความสุขเดียวที่มี

ความสุขของพี่ ถ้าความสุขของตัวเองไม่มี แต่ถ้าให้บอก ความสุขเดียวเลยคือ การที่ได้ดูแลพ่อกับแม่ โดยที่ท่านยังมีกินมีอยู่ได้ แล้วก็มีเงินซื้ออุปกรณ์หรือเงินรักษาลูกไปเรื่อยๆ นั่นคือความสุขของพี่

การ์ตูนรู้อยู่แล้วแหละว่าแม่รัก ว่าแม่ดูแลน้องอย่างดีที่สุด แล้วแม่ก็รู้อยู่แล้วว่าการ์ตูนรักแม่มาก ถึงลูกจะไม่รับรู้หรือมองไม่เห็นหน้าแม่ แต่แม่เชื่อเสมอว่าน้องรับรู้ในสิ่งที่แม่ทำมาให้ตลอด ตั้งแต่หนูเกิดจนถึงตอนนี้ที่เป็นนางสาวแล้ว แม่เชื่อว่าหนูรับรู้ได้เสมอว่าทุกอย่างที่แม่ทำเพื่อการ์ตูน

Advertisement

แชร์
10 ปี "แม่น้องการ์ตูน" การต่อสู้กับความเจ็บปวด ความยุติธรรมที่ไร้หวัง