Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ม.มหิดลพลิกโฉม สู่ “Real World Impact”

ม.มหิดลพลิกโฉม สู่ “Real World Impact”

21 มี.ค. 68
19:43 น.
|
42
แชร์

มหาวิทยาลัยมหิดล พลิกโฉมการศึกษา วิจัย และบริการสุขภาพสู่ “Real World Impact” และเป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพและสุขภาวะองค์รวมระดับโลก

มหาวิทยาลัยมหิดล ประกาศทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่รับเมกะเทรนด์ เดินหน้าขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยสู่การเป็น ศูนย์กลางองค์ความรู้และนวัตกรรมระดับโลกที่มุ่งสร้าง “Real World Impact” ในทุกมิติ

ตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ (Health Science) และสุขภาวะองค์รวมระดับโลก ขับเคลื่อนผ่าน 3 กลไกหลัก ประกอบด้วย From Research Lab to Commercialization, From Education to Real World Impact และ From Community Engagement to Real World Impact

ม.มหิดลพลิกโฉม สู่ “Real World Impact”

เผยความรุดหน้าในการผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางด้านเซลล์บำบัดและยีนบำบัด (Cell and Gene Therapy) ระดับอาเซียน พร้อมเสริมศักยภาพการแพทย์และสาธารณสุขไทยด้วย AI + Health Care และ ผลักดัน สตาร์ตอัปด้าน Health Tech ไทย สู่ระดับ Unicorn

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับกระแสความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ใน 6 มิติ 1. สังคมสูงวัย (Aging Society) ในอีก 8 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super Aging) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรและระบบการแพทย์และสาธารณสุขอย่างมาก 2. การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Digital Disruption) ที่ขับเคลื่อนโดย AI และเทคโนโลยีดิจิทัล 3. ภูมิรัฐศาสตร์โลก (Geopolitics) ที่กำหนดทิศทางเศรษฐกิจและนวัตกรรม 4. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อความอยู่ดีมีสุขของคนทั่วโลก 5. การเปลี่ยนแบบแผนระหว่างช่วงชีวิต (Generation Change)

ม.มหิดลพลิกโฉม สู่ “Real World Impact”

การเปลี่ยนแปลงของคนรุ่นใหม่ที่มีรูปแบบการดำเนินชีวิตที่หลากหลายมากขึ้น 6. การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร (Organization Change) ที่เน้นการทำงานแบบ Data-Driven และขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความท้าทายที่มหาวิทยาลัยมหิดลต้องรับมือและปรับตัวตามให้ทัน และต้องเร่ง “ทรานส์ฟอร์ม” สู่ยุคใหม่ในทุกมิติ

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยมหิดลประสบความสำเร็จอย่างมากในการสร้าง Academic Impact โดยผลิตบัณฑิตคุณภาพมากกว่า 6,000 คนต่อปี

ได้รับการจัดอันดับ THE Impact Ranking ติดอันดับ 1 ของไทย และด้าน SDG3: Good Health & Well-Being เป็นอันดับที่ 3 ของโลก นอกจากนั้น ได้รับการจัดอันดับ QS Ranking อันดับ 1 ในประเทศไทย

ม.มหิดลพลิกโฉม สู่ “Real World Impact”

ใน 8 สาขาวิชาหลักด้านดนตรี อันดับที่ 28 ของโลก และอีกมากมาย แต่มหาวิทยาลัยมหิดล ไม่ต้องการมุ่งสร้าง Academic Impact เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องการใช้ความรู้สร้าง “Real World Impact” ที่แท้จริงที่ช่วยแก้ปัญหา พัฒนาสังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ และเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีกว่าเดิม พร้อมมุ่งเป้าสู่การเป็น "World-Class University" และเป็นผู้นำในด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ (Health Science) และสุขภาวะแบบองค์รวม (Holistic Wellbeing) ในระดับโลก โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาวะของประชาชนแบบองค์รวมทั้งในระดับประเทศและระดับโลก สอดคล้องตามเป้าหมาย SDGs ซึ่งในการมุ่งสู่เป้าหมายดังกล่าว ดำเนินการโดยขับเคลื่อนผ่าน 3 กลไกหลัก ได้แก่

ม.มหิดลพลิกโฉม สู่ “Real World Impact”

1. From Research Lab to Commercialization ผลักดันงานวิจัยจากหิ้งสู่ห้าง สร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงพาณิชย์ ผลักดันงานวิจัยไม่ให้อยู่แค่บนหิ้งแต่ส่งเสริมภาคเอกชนให้นำไปต่อยอดพัฒนา เป็นเทคโนโลยี นวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ หรือบริการ ที่สร้างประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ฐานนวัตกรรม และทำให้งานวิจัยไทย “ขาย” และ “แข่งขัน” ได้ในเวทีโลก โดยปัจจุบันมหาวิทยาลัยมหิดล มีผลงานวิจัยที่ได้รับการจดสิทธิบัตรกว่า 2,557 รายการ และผลงานที่ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ในเชิงพาณิชย์กว่า 415 รายการ มูลค่ากว่า 123.6 ล้านบาท โดยมีตัวอย่างการนำผลการวิจัยไปต่อยอดที่สำคัญ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีการแพทย์ขั้นสูงด้านเซลล์บำบัดและยีนบำบัด (Cell and Gene Therapy) พร้อมสร้างโรงงานผลิตยาที่มีชีวิตเป็นศูนย์กลางการรักษาด้วยยีนบำบัดและเซลล์บำบัดแห่งแรกของ ประเทศไทย การพัฒนาวัคซีนและชีวเภสัชภัณฑ์ เช่น วัคซีนมาลาเรียและไข้เลือดออก ที่ถูกนำไปใช้ในระดับสากล PharmTOP โรงงานยาที่ผลิตจากสมุนไพร

2. From Education to Real World Impact ทรานส์ฟอร์มการศึกษา สู่การเรียนรู้ไร้พรมแดน  เน้นการศึกษาแบบ Outcome-Based Education สร้างบัณฑิตตอบโจทย์โลกยุคใหม่ให้เป็น World Citizenship ที่ไม่ใช่แค่มีความรู้ทางวิชาการ แต่ต้องพร้อมทำงานจริง สามารถทำงานร่วมกับเครือข่าย ปรับตัวและเอาตัวรอดได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีทักษะแห่งอนาคต โดยพัฒนาหลักสูตรที่ยืดหยุ่น หลากหลาย ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ไม่ว่าจะเป็น Hybrid Programs ที่ผสมหลักสูตรข้ามศาสตร์ หลักสูตรระยะสั้น (Micro-Credentials) ที่เน้นการพัฒนาทักษะเฉพาะทางที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการ Upskill/Reskill การเรียนรู้แบบ Self-Paced Learning ที่ผู้เรียนสามารถออกแบบและกำหนดระยะเวลา

การเรียนรู้ที่เหมาะสมกับตนเองได้ และที่สำคัญ คือ ไม่กําหนดอายุผู้เรียน ส่งเสริม Lifelong Learning เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลทุกช่วงวัยสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ตลอดชีวิต ผ่านแพลตฟอร์ม MU-ALL

นอกจากนี้ ยังมุ่ง Upskill บุคลากรด้านสาธารณสุขโดยเปิดหลักสูตร วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาชุมชนสุขภาวะและความยั่งยืน เพื่อให้บุคลากรในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการศึกษา โดยมีโครงการนำร่องที่วิทยาเขตอำนาจเจริญเป็นแห่งแรก พร้อมพัฒนาหลักสูตรใหม่ GenEd Plus เพื่อเสริมสร้างทักษะในการเป็น พลเมืองโลกที่พร้อมปรับตัวและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในยุคใหม่ ตลอดจนส่งเสริมการศึกษาไร้พรมแดนโดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดหลักสูตรการเรียนการสอนและกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่างๆ

3. From Community Engagement to Real World Impact ลงมือทำเพื่อสังคม สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ขยายบทบาทจากสถาบันการศึกษาสู่ศูนย์กลางในการขับเคลื่อนสังคม สร้างผลกระทบที่จับต้องได้ ร่วมขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ผ่านการจัดทำ Policy Lab เช่น โครงการลดอุบัติเหตุทางถนน โดยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ตำรวจจราจร กรมทางหลวง นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจราจรและภาคประชาชน เพื่อร่วมกันค้นหาต้นเหตุที่แท้จริงของอุบัติเหตุ แนวทางที่สามารถช่วยลดอุบัติเหตุทางถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทดลองทำโครงการต้นแบบขึ้นในพื้นที่ศาลายา และจะขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ พร้อมผลักดันเชิงนโยบาย (Policy Advocacy) เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนของไทยอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีโครงการ “9 to Zero” หรือ “ก้าวสู่ศูนย์” โดยดำเนิน 9 มาตรการ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในมหาวิทยาลัยเป็นศูนย์ภายใน 9 ปี หรือ ภายใน พ.ศ.2573

สำหรับทิศทางการดำเนินงานในอนาคต ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร กล่าวว่า จะมุ่งส่งเสริมและผลักดันใน 3 ด้านหลัก สู่การพลิกโฉมวงการสาธารณสุขไทย ประกอบด้วย

1. ผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางด้านเซลล์บำบัดและยีนบำบัด (Cell and Gene Therapy) ระดับอาเซียน โดยมหาวิทยาลัยมหิดลจะเป็นผู้นำในการสร้าง Ecosystem ที่สมบูรณ์ของการรักษาแบบเซลล์บำบัดและยืนบำบัดในประเทศไทยตั้งแต่การส่งเสริมพัฒนางานวิจัย การพัฒนาบุคลากร การส่งเสริมการผลิต

เชิงอุตสาหกรรม ไปจนถึงการผลักดันนโยบายและความร่วมมือระดับนานาชาติ ควบคู่ไปพร้อมกับการเร่งปรับปรุงโรงงานยาที่มีอยู่เดิมให้เป็น โรงงานยาที่มีชีวิต (MU-Bio Plant) สำหรับผลิตยากลุ่ม Advanced Therapy Medicinal Product (ATMP) เพื่อรองรับการการรักษาแบบเซลล์บำบัดและยีนบำบัดในประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงการรักษาโรคมะเร็งและโรคร้ายแรงอื่นๆ ได้ในราคาที่ถูกลง

อย่างมากแล้ว ยังจะส่งเสริมให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตเซลล์บำบัดและยีนบำบัดของภูมิภาคอาเซียน ยกระดับมาตรฐานวงการแพทย์ไทยให้ทัดเทียมสากล

2. เสริมศักยภาพการแพทย์และสาธารณสุขไทยด้วย AI & Health Care นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการแพทย์และระบบสาธารณสุข โดยร่วมมือกับ บริษัท สยาม เอไอ คลาวด์

คอร์เปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็น NVIDIA Cloud Partner (NPC) เพียงรายเดียวในประเทศไทย นำนวัตกรรม

ที่ทันสมัย และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้เพื่อประโยชน์ด้านการแพทย์ เช่น การวินิจฉัยโรค

การคาดการณ์แนวโน้มของโรค การคาดการณ์ความเสี่ยงโรคเรื้อรัง การดูแลสุขภาพส่วนบุคคล และบริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสริมสร้างสุขภาวะของประชาชน รวมถึงการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ให้มีความเชี่ยวชาญด้าน AI  และ Health Tech ให้สามารถใช้งานได้จริง ตลอดจนเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนทางวิชาการระหว่างคณาจารย์ นักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อถ่ายทอดความรู้และทักษะทางเทคนิคร่วมกัน

3. สร้าง Startup Ecosystem และผลักดัน Startup Health Tech ไทย ก้าวไกลสู่ระดับ Unicorn ตั้งเป้าให้มหาวิทยาลัยมหิดลเป็น One Stop Service สำหรับส่งเสริมและพัฒนา Health Tech Startup และสร้าง Startup Ecosystem แบบครบวงจร โดยจัดตั้งโครงการบ่มเพาะและเร่งการเติบโตของสตาร์ตอัป (Health Tech Incubator & Accelerator) โดยร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรระดับโลก เช่น Silicon Valley รวมถึงสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) เพื่อร่วมกันสนับสนุนและพัฒนาสตาร์ตอัปไทยในทุกมิติ

ตั้งแต่การพัฒนาเทคโนโลยี การส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งทุน ไปจนถึงการขยายตลาดเพื่อร่วมกันผลักดันให้ประเทศไทยมี Unicorn Startup ในสาย Health Tech

“มหาวิทยาลัยมหิดล ถือเป็นต้นแบบที่สะท้อนถึงความสำเร็จครอบคลุมหลายมิติจากหลายๆ โครงการ ที่เริ่มจากงานวิจัยจนนำมาสู่การต่อยอดให้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรม ตอกย้ำเป้าหมายการเป็น Mahidol University For Real World Impact ในการเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านการวิจัยและสร้าง

การเปลี่ยนแปลงด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพและสุขภาวะองค์รวมระดับโลกได้อย่างแท้จริง” ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร กล่าวสรุป

Advertisement

แชร์
ม.มหิดลพลิกโฉม สู่ “Real World Impact”