อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยมี "ยานยนต์ไฟฟ้า" เป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อน ท่ามกลางกระแสความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น ควบคู่ไปกับนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำต่างเร่งปรับตัว เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในการแข่งขัน
หนึ่งในยักษ์ใหญ่แห่งวงการยานยนต์อย่าง "โตโยต้า" ก็ไม่ยอมตกขบวน ล่าสุดได้ประกาศแผนการลงทุนครั้งสำคัญ มุ่งสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ด้วยการขยายฐานการผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดในอเมริกาเหนือ ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ลดต้นทุน และรองรับการเติบโตของตลาดในอนาคต
โตโยต้า มอเตอร์ เปิดเผยถึงแผนการลงทุนเพิ่มเติมในภาคส่วนการผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และรถยนต์ไฮบริดในภูมิภาคอเมริกาเหนือ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะรวมถึงการจัดตั้งโรงงานแห่งใหม่ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อุปทานในระดับภูมิภาค รองรับแผนการขยายกำลังการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่วางไว้
นายฌอน ซักส์ ประธานบริษัท โตโยต้า แบตเตอรี่ แมนูแฟคเจอริ่ง นอร์ทแคโรไลนา ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Nikkei ระบุว่า หากความต้องการรถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต "เราอาจจำเป็นต้องพิจารณาขยายกำลังการผลิต ซึ่งอาจหมายรวมถึงการเลือกสถานที่ตั้งโรงงานแห่งใหม่" โดย ปัจจุบัน โตโยต้าได้ทุ่มงบประมาณกว่า 13.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการก่อสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการ
นายซักส์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ยังไม่มีข้อสรุปใดๆ เกี่ยวกับกรอบเวลาของการลงทุนในครั้งนี้ เนื่องจากบริษัทจะ "ให้ความสำคัญกับเสียงสะท้อนจากลูกค้าและติดตามแนวโน้มของอุตสาหกรรมในช่วง 5 ถึง 10 ปีข้างหน้า เราจะให้ความต้องการของลูกค้าเป็นปัจจัยหลักในการกำหนดทิศทางการลงทุน" นายซักส์ย้ำ
ทั้งนี้ โตโยต้ามีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า ในอเมริกาเหนือจาก 50% ในปัจจุบัน เป็น 80% ภายในปี 2030 โดยการผลิตแบตเตอรี่ในภูมิภาคนี้จะเป็นกลยุทธ์สำคัญในการลดต้นทุนการผลิต
โรงงานแห่งใหม่ในรัฐนอร์ทแคโรไลนาของโตโยต้ามีกำหนดการเริ่มต้นผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฮบริดในช่วงไตรมาสแรกของปี 2025 ตามด้วยการทดลองผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีเดียวกัน และการทดลองผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในปี 2026
แม้ว่ายอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของโตโยต้าจะทะลุ 50% เป็นครั้งแรกในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แต่ภาพรวมการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ ยังคงเป็นไปอย่างเชื่องช้า โดยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 10% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมด
จากสถานการณ์ดังกล่าว คาดการณ์ว่าโตโยต้าอาจเลื่อนการเปิดตัวโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งแรกในสหรัฐฯ ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐเคนทักกี จากเดิมที่วางแผนไว้ในปี 2025 ออกไปเป็นช่วงครึ่งแรกของปี 2026
อย่างไรก็ตาม นายซักส์ ยืนยันว่าแผนการผลิตแบตเตอรี่ของโตโยต้าจะไม่ได้รับผลกระทบจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เพิ่งผ่านพ้นไป โดยกล่าวว่า "ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร เราจะยังคงมุ่งเน้นการผลิตในระดับท้องถิ่น เพื่อให้สามารถจัดหาชิ้นส่วนต่างๆ ได้อย่างใกล้ชิดและส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้ถึงมือลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว"
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต ได้ผลักดันนโยบายส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ในสหรัฐฯ ผ่านพระราชบัญญัติลดอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act) ซึ่งให้เงินอุดหนุนแก่ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในอเมริกาเหนือ โดยรัฐบาลไบเดนมุ่งมั่นที่จะสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ไม่พึ่งพาจีน ขณะที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกัน คัดค้านมาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าของไบเดน ส่วนรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส สนับสนุนมาตรการเหล่านี้อย่างเต็มที่
นายซักส์ กล่าวว่า แผนการผลิตแบตเตอรี่ในสหรัฐฯ ของโตโยต้ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
การประกาศแผนการลงทุนเพิ่มเติมในภาคส่วนการผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดในภูมิภาคอเมริกาเหนือของโตโยต้า มอเตอร์ นับเป็นการตอกย้ำถึงวิสัยทัศน์และพันธกิจขององค์กรในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้า แม้ว่าภาพรวมการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาจะยังคงดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่โตโยต้ายังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยยึดหลักการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้า ควบคู่ไปกับการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มของอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด
การจัดตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในสหรัฐอเมริกา ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อุปทาน ลดต้นทุนการผลิต และรองรับการขยายตัวของตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในอนาคต นอกจากนี้ ยังเป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นของโตโยต้าในการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ในการส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ ลดการพึ่งพาการนำเข้า และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม การดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้านั้น ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้น ความผันผวนของนโยบายภาครัฐ และปัจจัยทางเศรษฐกิจระดับมหภาค แต่ด้วยศักยภาพขององค์กร ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เชื่อมั่นว่าโตโยต้าจะสามารถบรรลุเป้าหมายในการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าได้อย่างยั่งยืน
อ้างอิง Nikkeiasia