พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นมากกว่าสินทรัพย์ทางการเงินที่มีความปลอดภัยสูง พวกมันคือหัวใจของระบบเศรษฐกิจโลก เป็นเครื่องมือสำคัญที่รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้ระดมทุนเพื่อขับเคลื่อนงบประมาณ แก้ไขภาวะเศรษฐกิจ และรักษาเสถียรภาพของระบบการคลัง
ในระดับโลก ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ทั่วโลกต่างถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ ไว้ในฐานะสินทรัพย์สำรอง เช่น จีน ญี่ปุ่น และชาติผู้ส่งออกน้ำมันในตะวันออกกลาง โดยมีจุดประสงค์ทั้งด้านการเงิน การเมือง และการรักษาอิทธิพลในตลาดโลก ทำให้ประเทศเหล่านี้ มีสถานะเป็น "เจ้าหนี้ใหญ่" ของสหรัฐฯ ตามไปด้วย
แต่ในขณะที่ความตึงเครียดจากสงครามการค้าทวีความรุนแรงขึ้น ภายใต้นโยบายเก็บภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มุ่งเป้าไปยังคู่ค้ารายใหญ่ทั่วโลก ความเสี่ยงที่ประเทศเหล่านี้จะใช้พันธบัตรสหรัฐฯ เป็นเครื่องต่อรองกลับก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน นักวิเคราะห์เริ่มเตือนว่า หากประเทศผู้ถือครองรายใหญ่เลือกที่จะลดการถือครองพันธบัตร หรือเทขายในปริมาณมาก อาจก่อให้เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ที่กระทบเสถียรภาพของตลาดการเงินสหรัฐฯ ได้อย่างรุนแรง
สัญญาณเริ่มปรากฏแล้วในตลาด อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนแรงกดดันจากนักลงทุนที่เริ่มกังวลต่อความไม่แน่นอนด้านการคลัง รวมถึงโอกาสที่สหรัฐฯ จะเผชิญต้นทุนการกู้ยืมที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต หากการขายพันธบัตรกลายเป็น “อาวุธทางเศรษฐกิจ” ที่ถูกนำมาใช้ตอบโต้โดยตรง
พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หรือ Treasuries คือกลไกหลักที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ใช้ในการระดมทุนเพื่อสนับสนุนการใช้จ่ายของรัฐบาลกลาง ซึ่งมีบทบาทครอบคลุมทั้งการชำระหนี้สาธารณะ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การใช้จ่ายในภาคการป้องกันประเทศ และการบริหารเศรษฐกิจมหภาคในภาวะวิกฤต
ด้วยสถานะการค้ำประกันเต็มจำนวนโดยรัฐบาลกลาง พันธบัตรเหล่านี้จึงถูกจัดเป็น "สินทรัพย์ปลอดภัย" (Safe Haven Assets) ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความไว้วางใจ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ความเสี่ยงในตลาดเพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากภัยสงคราม ภัยโรคระบาด หรือความไม่แน่นอนทางการเมือง
ในปี 2025 พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หมุนเวียนในระบบการเงินโลกมากกว่า 28 ล้านล้านดอลลาร์ โดยถูกถือครองโดยธนาคารกลางต่างประเทศ รัฐบาลต่างประเทศ บริษัทประกันชีวิต กองทุนเพื่อการเกษียณอายุ และนักลงทุนรายใหญ่ทั่วโลก
ทั้งนี้ พันธบัตรแบ่งออกตามช่วงอายุของตราสาร ได้แก่
ข้อมูลจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ (TIC) ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2025 ระบุว่า ญี่ปุ่นยังคงเป็นผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รายใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมูลค่ารวมกว่า 1.13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 37.5 ล้านล้านบาทไทย
จีนแผ่นดินใหญ่ซึ่งอยู่ในอันดับที่สอง ถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ มูลค่า 7.843 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 26.1 ล้านล้านบาท ขณะที่สหราชอาณาจักรอยู่ในอันดับที่สาม ด้วยมูลค่าการถือครอง 7.503 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 25 ล้านล้านบาท
ในกลุ่มประเทศและเขตเศรษฐกิจอื่นๆ ที่มีการลงทุนจำนวนมากในตราสารหนี้ของสหรัฐฯ ได้แก่ หมู่เกาะเคย์แมน (14 ล้านล้านบาท), ลักเซมเบิร์ก (13.7 ล้านล้านบาท), แคนาดา (13.5 ล้านล้านบาท) และเบลเยียม (13.2 ล้านล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม แม้ข้อมูล TIC จะมีประโยชน์ในเชิงรายละเอียดของผู้ถือครองรายประเทศ แต่หากต้องการเข้าใจโครงสร้างการถือครองโดยรวม จำเป็นต้องพิจารณาข้อมูลจากบัญชีการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ด้วย
ข้อมูลจากเฟดเผยให้เห็นว่า ในช่วงปี 1945-2008 สัดส่วนการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ โดยต่างชาติพุ่งจากเกือบศูนย์เป็นเกือบ 50% แต่หลังปี 2008 สัดส่วนนี้กลับลดลงเหลือเพียงราว 30% ในปัจจุบัน แม้ตัวเลขรวมของการถือครองยังเพิ่มขึ้นในเชิงมูลค่า
นอกจากนี้ รายงานรายสัปดาห์จากเฟดนิวยอร์กเกี่ยวกับพันธบัตรในความดูแลของนักลงทุนต่างชาติ ยังพบว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีแรงขายสุทธิของพันธบัตรสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง แม้จะยังนับในหน่วย ดอลลาร์ที่แท้จริง (nominal dollars) โดยในกลุ่มพันธบัตรที่ถูกขายออกยังรวมถึงพันธบัตรประเภท TIPS (Treasury Inflation-Protected Securities) ซึ่งมูลค่าหลักจะถูกปรับตามดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ด้วย
แม้ยังไม่มีคำยืนยันว่าแรงขายหลังชัยชนะของทรัมป์ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดในปี 2024 เป็นการขายเชิงนโยบายโดยต่างชาติหรือไม่ แต่แรงขายนี้ก็ชี้ให้เห็นถึงความอ่อนไหวที่เพิ่มขึ้นในตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐฯ อันเป็นผลจากความไม่แน่นอนทางนโยบายเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศ และสะท้อนความเสื่อมถอยของความเป็น “เงินกลางโลก” ของดอลลาร์ในบางมิติ บ่งชี้ว่าระเบียบการเงินโลกกำลังเคลื่อนไหวเข้าสู่ยุคใหม่ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
ท่ามกลางความปั่นป่วนในตลาดการเงินโลกช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หนึ่งในความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนที่สุดคือแรงเทขายในตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่ hedge funds รวมถึงนักลงทุนรายย่อย ซึ่งนักวิเคราะห์ชี้ว่าอาจมีหลายสาเหตุ ตั้งแต่การหาทุนชดเชยขาดทุนจากหุ้น การถอนตัวจากกลยุทธ์ของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ไปจนถึงความกังวลทางการเมือง
แรงกดดันในฝั่งอุปทานไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในภาคเอกชน แต่ยังได้รับแรงเสริมจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ยังคงเดินหน้านโยบายตึงตัวเชิงปริมาณ (Quantitative Tightening: QT) อย่างต่อเนื่อง ด้วยการปล่อยให้พันธบัตรในพอร์ตหมดอายุ โดยไม่นำเงินไปลงทุนซ้ำ ซึ่งเท่ากับเป็นการดึงสภาพคล่องออกจากตลาด และเพิ่มแรงขายโดยตรงในตลาดพันธบัตร
ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ ความผันผวนที่รุนแรงในตลาดตราสารหนี้ โดยหลังการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าเมื่อวันที่ 2 เมษายน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี พุ่งจาก 3.9% ขึ้นไปแตะ 4.5% ภายในเวลาเพียง 5 วัน ขณะที่พันธบัตรอายุ 30 ปีทะยานเข้าใกล้ระดับ 5% ซึ่งนับเป็นความเคลื่อนไหวที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่า 40 ปี สะท้อนความไม่มั่นใจของตลาดที่มีต่อทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะยาว และความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการคลังที่อาจถูกบั่นทอนจากนโยบายเศรษฐกิจแบบแข็งกร้าว
แรงเทขายในตลาดพันธบัตรยังส่งผลลุกลามไปถึงตลาดเงิน โดยทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ จุดประกายความกังวลว่า ศรัทธาในสถานะของสหรัฐฯ ในฐานะแกนกลางของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลกที่เคยมั่นคง อาจเริ่มสั่นคลอน
บทบรรณาธิการของ Financial Times เตือนว่า การผลักดันนโยบายภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ในลักษณะ “ยิงปืนลูกซองใส่ระบบการค้าโลก” อาจบ่อนทำลายรากฐานสำคัญของสถานะดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นเสถียรภาพทางการเงิน ความน่าเชื่อถือในนโยบาย ความมีเหตุผล หรือแม้กระทั่งหลักนิติธรรม ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เงินดอลลาร์ถูกใช้เป็นเงินสำรองของโลกมาอย่างยาวนาน
“ถ้าคุณเป็นนักลงทุน คุณอยากจะเอาเงินไปลงในประเทศที่บริหารแบบนี้หรือเปล่าล่ะ? คำตอบมันก็ชัดเจนอยู่ในตัวอยู่แล้ว” โจเซฟ แก็กญง อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสของธนาคารกลางสหรัฐฯ และนักวิจัยประจำสถาบัน Peterson Institute for International Economics กล่าวอย่างตรงไปตรงมา สะท้อนความไม่เชื่อมั่นที่กำลังก่อตัวขึ้นในหมู่นักลงทุนทั่วโลก
แรงเทขายในตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลให้ผลตอบแทน (yield) ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งกลายเป็นแรงกระเพื่อมที่ลุกลามออกไปยังกิจกรรมเศรษฐกิจในวงกว้าง โดยเฉพาะในรูปของ “ต้นทุนหนี้” ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มสูงขึ้น ต้นทุนในการกู้ยืมของรัฐบาลย่อมเพิ่มตาม และส่งผลต่อเนื่องไปยังภาคเอกชนและประชาชน ได้แก่
ในระยะยาว สถานการณ์นี้อาจนำไปสู่ภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโดยรวม เนื่องจากการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ยากขึ้นจะบั่นทอนการลงทุน การบริโภค และการจ้างงาน ซึ่งเป็นรากฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจ
John Canavan นักวิเคราะห์จาก Oxford Economics เตือนว่า “ต้นทุนหนี้ที่สูงขึ้น ไม่ใช่แค่ตัวเลขในงบประมาณ แต่เป็นแรงกดดันจริงต่อการจ้างงาน และการหมุนเวียนของเงินทุนในระบบเศรษฐกิจ”
ความรุนแรงของผลกระทบจากตลาดพันธบัตรถึงขั้นทำให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งในตอนแรกไม่สะทกสะท้านต่อความผันผวนของตลาดหุ้น ยังต้องยอมถอยในบางนโยบายสำคัญ โดยเมื่อสัญญาณจากตลาดพันธบัตรเริ่มอ่อนแรงอย่างชัดเจน ทรัมป์ตัดสินใจเลื่อนการขึ้นภาษี 90 วันสำหรับประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่ ยกเว้นจีนที่ยังคงเป็นคู่ขัดแย้งหลักในสงครามการค้า
รายงานระบุว่า การเปลี่ยนท่าทีของทรัมป์ครั้งนี้เกิดจากแรงกดดันอย่างหนักจากภาคธุรกิจ โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น Scott Bessent ซึ่งได้รับการร้องเรียนจากซีอีโอของบริษัทชั้นนำเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากต้นทุนทางการเงินที่พุ่งสูง และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในภาพรวม
ในอีกด้านหนึ่งของสมรภูมิเศรษฐกิจโลก สายตาของนักลงทุนกำลังจับจ้องไปยังรัฐบาลต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนและญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รายใหญ่ ว่าจะใช้สินทรัพย์เหล่านี้เป็นเครื่องมือต่อรองหรือกดดันทางการเมืองหรือไม่ โดยเฉพาะท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นจากสงครามการค้าและมาตรการภาษีของสหรัฐฯ
แม้รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ จะยืนยันว่ายังไม่พบสัญญาณการเทขายพันธบัตรในระดับที่น่ากังวลจากประเทศเหล่านี้ แต่ความวิตกในตลาดยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะในกรณีของจีน ซึ่งถูกจับตามองว่ามีศักยภาพในการใช้ “อาวุธทางการเงิน” เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ ผ่านการลดสัดส่วนการถือครองพันธบัตรรัฐบาล หรือ Treasuries
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังมองว่า ความเป็นไปได้ที่จีนจะเทขายพันธบัตรในระดับใหญ่ยังมีจำกัด เนื่องจากการดำเนินการเช่นนั้นอาจส่งผลเสียกลับสู่เศรษฐกิจจีนเองในหลายมิติ เช่น
บริษัทวิจัย Capital Economics วิเคราะห์ว่า การเผชิญหน้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ผ่านตลาดพันธบัตร เปรียบได้กับ “เกมที่ไม่มีผู้ชนะ” (lose-lose situation) เพราะเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้งในระดับโครงสร้าง การโจมตีกันด้วยเครื่องมือทางการเงินเช่นนี้จึงจะทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องรับผลกระทบอย่างรุนแรง
อ้างอิง: TIC, BBC, The New York Times, Benjamin Braun, Vanguard, Investopedia