นี่คือประโยคที่คุณ เต้ย ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย)กล่าวในงานเปิดตัวออฟฟิศใหม่แห่งที่ 3 ในรอบ 30 ปีของ Microsoft
ทำไมปีนี้ถึงเป็นปีแห่งการปรับใช้ AI จริงจัง ?
แล้วออฟฟิศใหม่ของ Microsoft น่าสนใจแค่ไหน ? เราลองมาดูกัน
หลายคนอาจจะรู้แล้วว่าตอนนี้ Microsoft คือผู้อยู่เบื้องหลัง OpenAI เจ้าของ ChatGPT แช็ตบอท AI ตอบคำถามที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน
ถ้าย้อนกลับไปก่อนหน้าซัก 40-60 ปี ก่อนที่ Microsoft จะมาเป็นผู้นำด้าน AI อย่างทุกวันนี้ Microsoft ถือเป็นบริษัทที่คว้าโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของโลกได้เสมอ
เริ่มตั้งแต่สมัยคุณ Bill Gates ผู้ก่อตั้งบริษัทที่พัฒนา คอมพิวเตอร์ PC ให้เข้าถึงได้ทุกบ้าน มาจนถึงยุคของคุณ Satya Nadella ซีอีโอคนปัจจุบันที่คว้าโอกาสในธุรกิจคลาวด์เก็บข้อมูลเอาไว้ได้จนกลายเป็นผู้นำอันดับ 2 ของธุรกิจคลาวด์
สิ่งหนึ่งที่ขับเคลื่อน Microsoft มาโดยตลอดก็คือวิสัยทัศน์ของบริษัท ที่ไม่ได้มองสั้น แต่เน้นมองยาว
“Microsoft จะเติบโตต่อเนื่องในอีก 50 ปีได้อย่างไร” - คุณ Satya Nadella
นั่นก็เลยทำให้ Microsoft เป็นบริษัทที่เน้นคิดใหญ่ และ ให้ความสำคัญกับการสร้างนวัตกรรมอยู่เสมอ
กลับมาที่เรื่องของ AI ในปีนี้ เราจะได้เห็นบริษัทเอา AI เข้าไปปรับใช้ในองค์กรไม่ใช่แค่ทดลองใช้เหมือนในปีที่แล้ว
โดย AI จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ช่วยให้คนไม่ต้องทำงานน่าเบื่อซ้ำซาก และ เอาเวลาที่เหลือจากตรงนั้น ไปคิดสิ่งใหม่ ๆ ที่สร้างคุณค่าให้กับองค์กร
ตัวอย่างเช่น
- ในการประชุมเราสามารถโฟกัสได้เต็มที่ และให้ AI ช่วยจดสรุปประชุมให้
- งานตอบลูกค้าที่ถามคำถามเดิมซ้ำ ๆ AI ก็จะช่วยตอบให้
- หรือแม้แต่การสัมภาษณ์งานที่ตอนนี้มีบริษัทพัฒนา AI เพื่อใช้สัมภาษณ์งานขึ้นมาแล้ว
ซึ่งเรื่องนี้ทำได้ก็เพราะปกติแล้ว เวลาสัมภาษณ์งานส่วนใหญ่จะใช้คำถามรูปแบบเดิมเป็นส่วนใหญ่ และในอนาคตจะมีการพัฒนาให้ตรวจจับสีหน้าได้เพิ่ม เพื่อที่จะได้รู้ว่าคำตอบของผู้ถูกสัมภาษณ์เป็นเรื่องจริงหรือไม่
ส่วนเรื่องของ DeepSeek ที่เป็น AI จากจีน และ ถูกสร้างขึ้นมาด้วยต้นทุนต่ำ จริง ๆ แล้วเกิดขึ้นมาจากเครื่องมือ AI Foundry ของ Microsoft ที่มีโมเดลให้เลือกใช้มากกว่า 18,000 โมเดล
ในอนาคตการสร้างโมเดลขึ้นมาด้วยต้นทุนที่คุ้มค่าที่สุดเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้ ทั้งความเร็วและความเก่ง เป็นเรื่องสำคัญ
และสุดท้าย AI ไม่ใช่แค่เรื่องของการเพิ่มผลกำไรให้กับบริษัทอย่างเดียว คีย์หลักสำคัญอยู่ที่ถ้าพนักงานใช้ AI แล้วมีประสิทธิภาพมากขึ้น สร้างผลงานได้มากขึ้น สุดท้ายแล้วเรื่องตรงนี้ จะสะท้อนมาที่กำไรบรรทัดสุดท้ายของบริษัทเอง..
ทั้งหมดนี้ก็คือ สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับ AI และโลกของเราในปีนี้ โดยคุณ เต้ย ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์
ต่อไปเราลองมาดูกันว่าออฟฟิศใหม่ของ Microsoft จะน่าทำงานขนาดไหน ?
เริ่มกันที่หลักการออกแบบ 4 ข้อ ที่ Microsoft ใช้สร้างออฟฟิศใหม่ที่ One Bangkok ขึ้นมา
- ข้อแรก Inclusivity (ความหลากหลาย)
ออฟฟิศใหม่ของ Microsoft ถูกออกแบบให้ทุกคน ทุกเพศ ศาสนา เข้าถึงได้หมด ไม่ว่าจะเป็น การให้พนักงานมีส่วนร่วมกับการตั้งชื่อห้อง มีห้องนั่งสมาธิ ทำละหมาด รวมถึงให้นมบุตรสำหรับคุณแม่
- ข้อสอง Modern Workplace (เป็นที่ทำงานยุคใหม่)
Microsoft มีระบบการเข้างานแบบ Hybrid หรือสลับเข้าออฟฟิศอาทิตย์ละ 2-3 วัน และสามารถขอวัน Work from Home เพิ่มได้หากผู้จัดการอนุมัติ
โดยจะเน้นคีย์หลักไปที่การสร้าง Impact ของพนักงาน หรือ ผลลัพธ์มากกว่า
นอกจากนั้นที่ทำงานยังมีการใช้ระบบไฟที่ปรับตามแสงสว่างด้านนอก ช่วยให้พนักงานไม่ล้าสายตา
และยังมีการออกแบบพื้นที่ให้มีระดับสูงต่ำต่างกัน หมายความว่า ถ้าใครอยากยืน หรือ นั่งทำงาน ก็ทำได้ตามชอบ สร้างสรรค์ผลงานภายใต้ความสบายใจได้อย่างได้เต็มที่
อีกทั้งยังมีมุมทำงานหลากหลายทั้งโซนสำหรับที่คนอยากโฟกัส โซนสำหรับนั่งเป็นกลุ่มถกไอเดียกัน
- ข้อสาม Wellness (ความเป็นอยู่ดี)
ออฟฟิศของ Microsoft มี Cafeteria ที่มีทั้ง น้ำอัดลม ตู้ไอศกรีม รวมถึงมีห้องสำหรับผ่อนคลาย มีเก้าอี้นวด และยังมีโต๊ะปิงปองอีกด้วย
- ข้อสี่ Sustainability (ความยั่งยืน)
ของตกแต่งในออฟฟิศ Microsoft ถูกทำขึ้นมาจากวัสดุ Recycle และ ของที่ยังใช้ได้จากออฟฟิศเดิมเกือบทั้งหมด ทั้งพลาสติก จาน แก้วน้ำ ที่ใช้ซ้ำได้ ส่วนถ้าเป็นจานกระดาษก็จะใช้แบบย่อยสลายในดินได้
ด้านรายละเอียดมีการผสานรูปแบบออฟฟิศให้เข้ากับคามเป็นไทย ตัวอย่างเช่น ลายหนุมานบนกำแพงเป็นลายเดียวกับในวัดพระแก้ว และถูกสร้างสรรค์โดยการเอาตัวหนังสือไทยมาเรียงรวมกัน
โดยหนุมานเป็นตัวละครที่สื่อถึง ความแข็งแรง และ ชัยชนะ
ส่วนอีกตัวอย่างก็คือ ปลากัดไทยลายไฟฟ้า โดยปลากัดเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการแข่งขัน และ ชัยชนะ ส่วนลายไฟฟ้า นั้นสื่อถึง เทคโนโลยี ซึ่งถูกนำมารวมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็คงเห็นแล้วว่า Microsoft เป็นองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ของผู้ชนะ คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก อยากสร้างการเติบโตไปเรื่อย ๆ มีกรอบความคิดไปไกลถึง 5 ทศวรรษข้างหน้า
นอกจากนั้น Microsoft ยังเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมการทำงานของพนักงาน มีการออกแบบออฟฟิศ ให้ตอบโจทย์ทุกสไตล์การทำงาน ไม่จำกัดเรื่อง เพศ และ ศาสนา
ทั้งหมดนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ และ การให้ความสำคัญกับรายละเอียด ของบริษัทระดับโลก ที่ในวันนี้ เราคงได้เห็นกันแล้ว
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า ถ้าองค์กรในไทยลองเอารายละเอียดตรงนี้มาปรับใช้กัน จะสร้างการเติบโตได้มากขนาดไหน ?
ที่มา: Microsoft