Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
สงครามการค้ารอบนี้จะไปสิ้นสุดที่ไหน ?
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

สงครามการค้ารอบนี้จะไปสิ้นสุดที่ไหน ?

27 เม.ย. 68
00:00 น.
แชร์

ในช่วงหนึ่งถึงสองเดือนที่ผ่านมา ประเด็นที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั้งตลาดทุนและความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก คงหนีไม่พ้นกรณีความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน

สงครามการค้าในรอบนี้เริ่มตั้งแต่ทรัมป์ ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน เม็กซิโก และแคนาดาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ โดยมาตรการดังกล่าวได้ขยายตัวออกไปในวงกว้าง ทั้งในแง่ของอัตราภาษีที่สูงขึ้น รวมถึงจำนวนประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีซึ่งขยายออกไปมากกว่า 60 ประเทศทั่วโลกในเดือนเมษายน

แต่ประเด็นที่สร้างความกังวลมากที่สุด คือท่าทีตอบโต้ของจีนที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่า จะไม่ยอมถอย พร้อมทั้งใช้มาตรการภาษีในอัตราใกล้เคียงเพื่อตอบโต้กลับสหรัฐฯ โดยตรง ซึ่งส่งผลให้การตอบโต้ทางภาษีในรอบนี้ลุกลามจนแตะระดับที่ต่างฝ่ายต่างตั้งกำแพงภาษีกันมากกว่า 100% แล้ว

คำถามสำคัญในเวลานี้คือ “สถานการณ์นี้จะยืดเยื้อต่อไปได้อีกแค่ไหน และฝ่ายใดจะมีแต้มต่อในการต่อรองมากกว่ากัน?”

ไพ่ของสหรัฐฯ: ความสามารถในการประคับประคองตัวเอง

เพื่อทำความเข้าใจแนวโน้มในอนาคต เราจำเป็นต้องพิจารณาเครื่องมือที่แต่ละฝ่ายยังคงเหลืออยู่ เริ่มจากฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งมีไพ่หลักในมืออยู่ 3 ใบสำคัญ:

  1. การปรับขึ้นภาษีเพิ่มเติม เป็นไพ่ใบที่หงายหมดแล้ว และตลาดผ่านจุด panic ที่สุดไปแล้วเช่นเดียวกัน โดยปัจจุบันสหรัฐฯ ได้ดำเนินมาตรการขึ้นภาษีไปจนถึงระดับมากกว่า 100% แล้ว ซึ่งเป็นจุดที่ทางผู้ประกอบการจีนไม่สามารถแข่งขันได้แล้ว หากจะยกระดับไปถึง 150%, 200% หรือแม้แต่ 300% ก็อาจไม่ได้สร้างแรงกระทบใหม่เท่าใดนัก 
  2. การกดดันผ่านพันธมิตรทางการค้า (Secondary Tariff) หนึ่งในยุทธวิธีที่สหรัฐฯ อาจนำมาใช้คือการกดดันให้ประเทศพันธมิตร โดยเฉพาะ 60 ประเทศที่อยู่ในข่ายถูกเรียกเก็บภาษีจากสหรัฐฯ กีดกันสินค้ากับจีน โดยเปรียบเสมือนการบังคับเลือกข้างอย่างชัดเจนว่าจะทำการค้ากับฝั่งใด ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงด้วยการโจมตีจีนได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เองมากนัก
  3. อัดฉีดสภาพคล่อง ยื้อเศรษฐกิจถดถอย สหรัฐฯ ยังมีความสามารถในการดูแลเศรษฐกิจภายในผ่านนโยบายการคลัง เช่น การลดภาษีนิติบุคคลให้กับบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากภาษี รวมถึงการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (Quantitative Easing) หรือการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อประคองเศรษฐกิจจากภาวะถดถอย

อาวุธของจีน: แม้จำกัด แต่ทรงพลัง

ทางด้านจีน แม้จะมีข้อจำกัดเชิงโครงสร้างทางการเงินและการทูตเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ แต่ก็ยังมีเครื่องมือสำคัญที่สามารถใช้เป็นมาตรการตอบโต้ได้ในยามจำเป็น ซึ่งได้แก่:

  1. การถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จีนเป็นประเทศที่ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากญี่ปุ่น โดยถืออยู่ที่ราว 780,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ปีนี้สหรัฐฯ ต้องทำการรีไฟแนนซ์หนี้ของรัฐบาลในปริมาณสูงสุดในรอบทศวรรษ (ประมาณ 7 ล้านล้านดอลลาร์) หากจีนเริ่มเทขายพันธบัตรเหล่านี้ จะส่งผลให้ราคาตราสารลดลง และอัตราผลตอบแทน (Yield) ปรับตัวสูงขึ้นทันที ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนทางการเงินให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งยังส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ภาคธุรกิจ และการจำนอง (Mortgage) ของประชาชนอีกด้วย
  2. การควบคุมการส่งออกแร่หายาก จีนมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานระดับต้นน้ำของแร่หายากที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ชิปเซมิคอนดักเตอร์ แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า และแผงโซลาร์เซลล์ โดยครองส่วนแบ่งตลาดโลกในบางประเภทมากถึง 70-90% การจำกัดการส่งออกวัตถุดิบเหล่านี้จึงสามารถกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ได้อย่างรุนแรง และอาจทำให้ความขัดแย้งลุกลามจากสงครามการค้าไปสู่สงครามทรัพยากรได้ในอนาคต

สถานการณ์ต่อจากนี้: รอใครอ่อนแรงก่อน?

แม้ว่าทั้งสองประเทศจะได้ใช้นโยบายภาษีในระดับที่สูงจนยากจะเพิ่มขึ้นอีกมากนัก แต่ยังคงมี “อาวุธทางเศรษฐกิจ” ที่สามารถนำมาใช้ได้หากสถานการณ์ยืดเยื้อ

ความขัดแย้งนี้จึงอาจยังไม่สิ้นสุดลงในเร็ววัน จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเริ่มแสดงสัญญาณอ่อนแรงทางเศรษฐกิจ หรือมีความจำเป็นต้องเข้าสู่การเจรจาเพื่อยุติความตึงเครียดดังกล่าว

สิ่งที่นักลงทุนควรติดตามต่อไป:

  1. ตัวเลขเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ หากมีสัญญาณอ่อนแอจากฝ่ายใดก่อน อาจเป็นตัวบ่งชี้ถึงโอกาสการเปลี่ยนแปลงจุดยืนเชิงนโยบาย และนำไปสู่การเริ่มต้นเจรจา
  2. ทิศทางของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หากอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อาจเป็นสัญญาณว่าจีนได้เริ่มดำเนินการเทขายพันธบัตร และจะนำไปสู่ความตึงเครียดที่มากขึ้นของระหว่างสองประเทศ

หมายเหตุ

คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ผู้เขียน
นายธนลภย์ ปรีดามาโนช บริษัท ผู้จัดการเงินทุน เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด

Sources:

https://www.bloomberg.com/explainers/us-china-trade-war

https://www.cnbc.com/2025/04/08/why-the-stock-market-hates-tariffs-and-trade-wars.html

แชร์
สงครามการค้ารอบนี้จะไปสิ้นสุดที่ไหน ?