ปัจจุบันกระแสของ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ AI กำลังมาแรงในแวดวงธุรกิจที่เข้ามาช่วยเติมเต็มความฉลาดและสร้างความรวดเร็วให้แก่ผู้ใช้งาน อีกทั้งเรายังเห็นผู้คนพูดถึงและประยุกต์ใช้ในองค์กรตัวเองมากขึ้น ไม่เว่นแม้แต่อุตสาหกรรมทางการแพทย์ เช่น การนำ AI เข้ามาช่วยแพทย์วิเคราะห์และวินิจฉัยโรคเฉพาะบุคคล
บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ร่วมลงทุนใน CARIVA (แคริว่า) บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ชั้นนำของไทย ผู้พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ Medical Large Language Models (Medical LLMs) เป็นรายแรกในอาเซียน เพื่อยกระดับการแพทย์ไทยด้วยการนำนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาพัฒนาต่อยอดกับกระบวนการตรวจสุขภาพทางห้องปฏิบัติการ (Lab Interpretation Solution) เพื่อแปลผลวิเคราะห์ และให้ข้อมูลการตรวจแล็บที่อาจเกี่ยวข้อง เพื่อค้นหาโรคที่เป็นความเสี่ยงสำคัญของผู้ป่วย ทำหน้าที่เปรียบเสมือนผู้ช่วยแพทย์ในการวิเคราะห์รายละเอียดของผู้ป่วย และเพิ่มประสิทธิภาพการดูแล โดย BDMS นำ AI ดังกล่าวมาปรับใช้กับแนวทางค้นหาเชิงป้องกันกับคนสุขภาพดี ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการ Sandbox ของ BDMS ที่มุ่งยกระดับมาตรฐานการบริการทางการแพทย์ด้วยการพัฒนานวัตกรรม 5 ด้าน ได้แก่
การลงทุนเพื่อความร่วมมือในการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ในครั้งนี้ ถือเป็นการยกระดับมาตรฐานการบริการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Preventive Care) และการแพทย์เฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) ตรวจคัดกรองความผิดปกติเบื้องต้น วิเคราะห์ข้อมูลจากผลตรวจของแต่ละบุคคล เพื่อการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลสุขภาพป้องกันโรคเรื้อรังในอนาคต ซึ่งสามารถตรวจพบและป้องกันได้ก่อนเกิดโรค
ดร. พัชรินทร์ บุญยะรังสรรค์ ผู้ช่วยประธานฝ่ายนวัตกรรมองค์กรยั่งยืน บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา BDMS ได้ให้ทุนสนับสนุนบริษัทสตาร์ทอัพไปแล้ว 4 แห่ง และร่วมพัฒนานวัตกรรมร่วมกับสตาร์ทอัพในประเทศไทยตามแผนการลงทุนในนวัตกรรมใหม่ 1,500 ล้านบาท ปัจจุบันได้นำนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นใหม่เหล่านี้ไปใช้งานได้จริงแล้ว 7 โครงการ โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อพัฒนามาตรฐานบริการทางการแพทย์ และการบริการด้านสุขภาพ ด้วยการคิดค้นนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ขึ้นมาใช้งานร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์ เช่น
ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ได้วิเคราะห์ว่า เทคโนโลยี AI จะเป็นจิกซอว์ชิ้นสำคัญที่เข้ามาช่วยยกระดับและเติมเต็มให้อุตสาหกรรมการแพทย์ของไทยก้าวหน้า และเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญผลักดันให้ไทยบรรลุเป้าหมายการเป็น Medical Hub และช่วยสร้างรายได้ให้ประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 5.6 หมื่นล้านบาท
โดย นโยบาย Medical Hub ถูกหยิบยกให้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่ทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง ที่เป็น 1 ใน 13 หมุดหมายสำคัญตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ.2566-2570)
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมการแพทย์มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย ปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 2 แสนกว่าล้านบาท การยกระดับและสนับสนุนการใช้ AI ในอุตสาหกรรมการแพทย์ของไทยจะเสริมศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมการแพทย์ให้ทัดเทียมนานาชาติ พร้อมทั้งเป็นประโยชน์ต่อระบบสาธารณสุขในระยะยาว และสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด AI ในอุตสาหกรรมการแพทย์ทั่วโลก ที่คาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่าปีละ 30-40% แตะระดับ 1.78 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 5-6 ปีข้างหน้านี้
ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ได้วิเคราะห์ว่า 5 เทรนด์ ดังกล่าว จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมการแพทย์ในหลายมิติ และคาดว่า มูลค่าตลาด AI ในอุตสาหกรรมการแพทย์ของไทยจะขึ้นไปแตะระดับ 353 ล้านดอลาร์สหรัฐฯ และจะช่วยสร้างมูลค่าลงทุนสะสมในรอบ 10 ปีจากนี้ (2567-2577) ถึง 1,617 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 5.6 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การยกระดับอุตสาหกรรมการแพทย์ด้วยเทคโนโลยี AI ของไทยจะประสบความสำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐที่เอื้อให้เกิดการลงทุน การสอดประสานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและพัฒนาด้าน AI และด้านการแพทย์ ควบคู่กับการลงทุนจากภาคเอกชนที่มีความพร้อมทั้งด้านองค์ความรู้ ทรัพยากร และเงินลงทุน เพื่อให้เกิดการพัฒนาและการลงทุนอย่างบูรณาการ และเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้ง Ecosystem
อ้างอิง : ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS