สำหรับมนุษย์วัยทำงาน เชื่อว่า ‘การกินกาแฟ’ ยามเช้า คือการเริ่มต้นวันที่ดีที่สุด เพราะจะทำให้เรามีเอนเนอร์จีในระหว่างวัน แต่หากบอกว่า ตอนนี้ กาแฟยามเช้าของคุณอาจจะมีราคาแพงขึ้นเร็วๆ นี้ จะตกใจหรือไม่ ?
เพราะตอนนี้ ‘ราคากาแฟ’ ได้แพงขึ้นเป็นประวัติการณ์ พุ่งสูงถึง 70% จนทำให้แบรนด์กาแฟสำเร็จรูปหลายเจ้า และร้านกาแฟหลายประเทศประกาศต้องขึ้นราคา เชื่อว่านี่คือฝันร้ายของมนุษย์ติดคาเฟอีน
ขณะเดียวกัน ตอนนี้ มีรายงานข่าวจากสหรัฐฯ พบว่า มีการขโมยเมล็ดกาแฟดิบจากรถบรรทุกในหลายสิบครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา
เกิดอะไรขึ้น ? ทำไม ‘กาแฟ’ ถึงได้ราคาแพงเป็นประวัติการณ์ จนราคาพุ่งสูงถึง 70% บทความนี้ SPOTLIGHT ชวนทุกคนมาหาคำตอบ
สำนักข่าว Reuters รายงานว่า อุตสาหกรรมกาแฟทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาด้านราคา หลังพบว่า ราคาซื้อขายล่วงหน้าของกาแฟอาราบิกามีราคาเพิ่มขึ้นถึง 70% ส่งผลให้ผู้ค้าและโรงคั่วกาแฟต้องลดปริมาณการซื้อเมล็ดกาแฟลงเหลือระดับต่ำสุด เนื่องจากต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ซัพพลายเออร์ยังไม่สามารถโน้มน้าวให้ร้านค้าปลีกยอมรับการปรับขึ้นราคาได้
นั่นทำให้การประชุมประจำปีของสมาคมกาแฟแห่งชาติสหรัฐ ที่เมืองฮูสตัน รัฐเท็กซัส เมื่อสัปดาห์นี้ ผู้เข้าร่วมงานหลายรายกล่าวว่า พวกเขาตกใจกับราคากาแฟอาราบิกาในตลาดซื้อขายล่วงหน้าที่ ICE ซึ่งเป็นตลาดอ้างอิงสำหรับการซื้อขายกาแฟทั่วโลก ที่พุ่งสูงขึ้นถึง 70% ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน
ส่วนเรแนน ชูเอรี ผู้อำนวยการทั่วไปของ ELCAFE C.A. ในประเทศเอกวาดอร์ กล่าวว่า ปีนี้เป็นครั้งแรกที่ ELCAFE ซึ่งเป็นผู้ผลิตกาแฟสำเร็จรูปรายใหญ่ไม่สามารถขายสินค้าล็อตการผลิตประจำปีได้หมดล็อตภายในเดือนมี.ค.
อย่างเช่น
จากข้อมูลพบว่า การบริโภคกาแฟทั่วโลก อยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านแก้วต่อวัน และได้เกิดร้านกาแฟมากมายขึ้นทั่วโลก เช่น ร้าน Starbucks มีสาขามากถึง 38,038 สาขา, ร้าน Luckin Coffee มีสาขากว่า 21,000 สาขา หรือร้าน Tim Hortons ที่มีสาขากว่า 5,833 สาขา นี่ยังไม่รวมร้าน local ที่เกิดใหม่ในแต่ละประเทศอีกมากมาย
การต่อสู้ระหว่างอิสราเอลและฮามาส ทำให้ราคากาแฟอาจปรับสูงขึ้น องค์กรกาแฟระหว่างประเทศรายงานเมื่อเดือนธันวาคมว่า เนื่องจากมีการต่อสู้บริเวณแนวทะเลแดง (Red Sea) ซึ่งเป็นแหล่งขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ 30% ของโลก รวมถึงกาแฟจากเวียดนามด้วย ความล่าช้าในทะเลแดงและคลองสุเอซทำให้กาแฟกว่า 5 พันล้านถุงยังไม่มาถึงยุโรป
หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ให้คำมั่นว่า จะเดินหน้าต่อขู่ขึ้นภาษีนำเข้า 25% จากแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งหากเม็กซิโกมีตลาดส่งออกกาแฟที่ใหญ่ที่สุดคือ สหรัฐฯ นั่นก็จะยิ่งดันให้ราคากาแฟแพงขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องกฎหมายใหม่ของสหภาพยุโรป ซึ่งกำหนดให้มีผลบังคับใช้ในเดือนธ.ค.นี้ ห้ามจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ (รวมถึงกาแฟ) หากบริษัทต่างๆ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำลายป่า แม้ว่านี่จะเป็นความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ แต่ปัจจัยเหล่านี้ก็อาจส่งผลดันให้ราคากาแฟนั้นแพงสูงขึ้นได้
อย่างที่เรารู้กันว่า สหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้บริโภคกาแฟรายใหญ่ที่สุดในโลก แต่เนื่องจากกาแฟสามารถปลูกได้ในพื้นที่ที่มีอากาศอบอุ่นเท่านั้น ทำให้ต้องนำเข้าเกือบ 100% ของปริมาณที่ใช้ ซึ่งทำให้ต้องขนส่งเมล็ดกาแฟหลายล้านกระสอบจากท่าเรือไปยังโรงคั่วกาแฟ โดยส่วนใหญ่ใช้รถบรรทุก
แต่ล่าสุดสำนักข่าว Reuters ได้มีการรายงานว่า “ในปีที่ผ่านมา มีการขโมยกาแฟเกิดขึ้นหลายสิบครั้ง ซึ่งในอดีตแทบจะไม่เคยเกิดขึ้น” ทอดด์ คอสต์ลีย์ ผู้ประสานงานการขายด้านโลจิสติกส์ของฮาร์ตลีย์ ทรานสปอร์เทชัน (Hartley Transportation) บริษัทขนส่งในรัฐนิวแฮมป์เชียร์ ได้แสดงถึงความกังวลใจหลังเกิดเหตุการณ์โจรขโมยกาแฟในสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ยังได้มีรายงานการขโมยกาแฟในประเทศผู้ผลิตบางประเทศ เช่น บราซิลและเวียดนาม ซึ่งมักเกิดขึ้นในไร่ที่เมล็ดกาแฟถูกเก็บไว้ชั่วคราวหลังการเก็บเกี่ยว สถานที่เหล่านี้มักตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล และมีความเสี่ยงต่อการถูกปล้นมากกว่า
อย่างไรก็ตาม Reuters ได้คาดการณ์ว่า ราคากาแฟอาราบิกาอาจลดลงถึง 30% ภายในสิ้นปีนี้ เนื่องจากราคาสูงทำให้ความต้องการลดลง นอกจากนี้ยังมีสัญญาณบ่งชี้ว่า ผลผลิตกาแฟในบราซิลจะเพิ่มขึ้นในปีหน้า ซึ่งอาจช่วยให้ตลาดกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลได้ และจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่ส่งผลต่อการผลักดันให้ราคากาแฟพุ่งสูงขึ้น ก็ยังมีแนวโน้มที่ยังคงต้องจับตากันอยู่เรื่อยๆ เพียงแต่หวังว่าความโชคร้ายนี้จะไม่ตกมาอยู่ที่เหล่า Coffee Lovers
อ้างอิง : CBS News