นับตั้งแต่ปี 2004 โคคา-โคล่าได้ครองตำแหน่งผู้นำตลาด และยังคงเป็นแบรนด์น้ำอัดลมที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก ด้วยมูลค่าตลาด 266.173 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ วันที่ 26 เมษายน 2024 เป๊ปซี่โคตามมาเป็นอันดับสองด้วยมูลค่า 241.386 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การแข่งขันระหว่างสองแบรนด์นี้เป็นตำนานในวงการตลาด ที่ยังคงส่งอิทธิพลต่อตลาดเครื่องดื่ม การตลาดโลก การตัดสินใจเลือกซื้อของผู้บริโภค และความจงรักภักดีต่อแบรนด์ ตลอดระยะเวลากว่าศตวรรษ การต่อสู้ครั้งนี้ได้พัฒนาจากการแข่งขันด้านรสชาติ สู่สมรภูมิโฆษณาออนไลน์ในปัจจุบัน บทความนี้จะเจาะลึกถึงกลยุทธ์และความคิดสร้างสรรค์ที่เป๊ปซี่และโคคา-โคล่าใช้เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดทั่วโลก เราจะพาคุณไปสำรวจการขับเคี่ยว กลยุทธ์โฆษณา และวิธีที่ทั้งสองแบรนด์ปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อรสนิยมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค เพื่อให้การแข่งขันอันดุเดือดนี้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
โคคา-โคล่า และ เป๊ปซี่ เป็นธุรกิจที่คล้ายคลึงกันมากในแง่ของอุตสาหกรรม กลุ่มเป้าหมาย และผลิตภัณฑ์หลัก ทั้งสองบริษัทเป็นผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม นำเสนอเครื่องดื่มหลายร้อยแบรนด์ให้กับผู้บริโภค
มองเผินๆ โคคา-โคล่าและเป๊ปซี่ดูเหมือนจะมีรูปแบบธุรกิจที่คล้ายกัน อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างในวิธีการดำเนินธุรกิจและวิธีที่พวกเขาพยายามที่จะชิงส่วนแบ่งการตลาด
จุดเริ่มต้นของตำนานน้ำดำ ปี ค.ศ. 1886 ที่เมืองแอตแลนต้า รัฐจอร์เจีย โคคา-โคล่าถือกำเนิดขึ้นครั้งแรก โดย ดร. จอห์น เอส. เพมเบอร์ตัน เภสัชกรผู้คิดค้นเครื่องดื่มรสชาติเฉพาะตัว เพื่อจำหน่ายตามร้านน้ำอัดลม แฟรงค์ โรบินสัน นักบัญชีของเขาตั้งชื่อเครื่องดื่มนี้ว่า "โคคา-โคล่า" และออกแบบโลโก้ด้วยลายมือของเขาเอง โคคา-โคล่าถูกโปรโมตเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยคลายเครียด
จนในปี 1892 บริษัท โคคา-โคล่า ก็ได้ก่อตั้งขึ้นและเรียกตัวเองว่าเป็นบริษัทเครื่องดื่มครบวงจร และมีเครื่องดื่มหลากหลายยี่ห้อกว่า 200 แบรนด์ ในปี 2023 บริษัทมีรายได้กำไรสุทธิ 10.71 พันล้านดอลลาร์ การเข้าถึงตลาดทั่วโลกของโคคา-โคล่านั้นคล้ายคลึงกับเป๊ปซี่โค แม้ว่าจะดำเนินงานด้วยการแบ่งกลุ่มตลาดที่แตกต่างกัน และมีวิธีการตั้งราคาก็แตกต่างเช่นกัน
กลุ่มผลิตภัณฑ์ ทุกวันมีการบริโภคเครื่องดื่มของโคคา-โคล่ามากกว่า 2.2 พันล้านหน่วยบริโภค แทนที่จะกระจายไปในอุตสาหกรรมอาหาร ขนมขบเคี้ยว และเครื่องดื่ม โคคา-โคล่ามุ่งเน้นไปที่การสร้างอาณาจักรเครื่องดื่ม กลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกอบด้วย:
โคคา-โคล่าวัดผลการดำเนินงานโดยการแบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็นเครื่องดื่มอัดลม (มีแก๊ส) และเครื่องดื่มไม่ผสมโซดา (ไม่มีแก๊ส) ในปีงบประมาณของโคคา-โคล่าที่สิ้นสุดในปี 2022 เครื่องดื่มอัดลมคิดเป็นกว่า 63% ของยอดขายรวมทั้งหมดของบริษัท
ผลประกอบการย้อนหลัง 4 ปี บริษัท Coca-Cola (KO)
ด้านหนึ่ง เป๊ปซี่ เริ่มในปี ค.ศ. 1893 เป๊ปซี่ หรือชื่อเดิมคือ "Brad's Drink" ถูกสร้างสรรค์โดย คาเลบ แบรดแฮม เภสัชกรจากเมืองนิวเบิร์น รัฐนอร์ทแคโรไลนา ต่อมาในปีเดียวกัน Brad's Drink ได้เปลี่ยนชื่อเป็นเป๊ปซี่-โคล่า แรงบันดาลใจจากชื่อนี้มาจากเปปซิน ซึ่งเป็นสารช่วยย่อยอาหาร และถั่วโคล่า ซึ่งเป็นส่วนผสมในสูตร เป๊ปซี่ถูกโปรโมตเป็นเครื่องดื่มช่วยย่อยที่อร่อยและดีต่อสุขภาพ
จนในปี 1898 เกิดเป็น เป๊ปซี่โค และได้สร้างสรรค์กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม นอกจากนี้ บริษัทยังมีกลยุทธ์การกำหนดราคาโดยตรง โดยวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภคและกำหนดราคาตามนั้น ในปี 2023 เป๊ปซี่โคมีแบรนด์ต่างๆ มากมาย และมีรายได้กำไรสุทธิ 9.7 พันล้านดอลลาร์
กลุ่มผลิตภัณฑ์ แทนที่จะมุ่งเน้นเฉพาะตลาดเครื่องดื่มเพียงอย่างเดียว เป๊ปซี่โคได้ขยายธุรกิจไปยังตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ อย่างจงใจและเฉพาะเจาะจง ดังนี้
แม้ว่าในอดีตจะถูกมองว่าเป็นบริษัทเครื่องดื่ม/น้ำอัดลม แต่ 58% ของรายได้ทางธุรกิจของเป๊ปซี่โคมาจากผลิตภัณฑ์อาหาร
ผลประกอบการย้อนหลัง 4 ปี บริษัท PepsiCo (PEP)
เมื่อโคคา-โคล่าเริ่มต้นการเดินทางด้านการตลาด พวกเขาเน้นย้ำถึงความสดชื่นและความพึงพอใจที่เครื่องดื่มมอบให้ แบรนด์นี้เป็นผู้นำในการใช้สินค้าแบรนด์ โดยแจกจ่ายสิ่งของต่างๆ เช่น ปฏิทินและนาฬิกาที่มีโลโก้ของพวกเขาเพื่อโปรโมตแบรนด์ ในปี 1916 โคคา-โคล่าตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดด้วยการเปิดตัวขวดรูปทรงยอดนิยม ซึ่งทำให้แตกต่างและเป็นที่จดจำได้ง่ายขึ้นในที่ต่างๆ ในปี 1927 พวกเขาสร้างร้านน้ำอัดลมที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ในช่วงแรก เป๊ปซี่เริ่มต้นด้วยการโปรโมตประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยวางตำแหน่งตัวเองอย่างมีกลยุทธ์ว่าเป็นเครื่องดื่มช่วยย่อยอาหาร ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในทศวรรษที่ 1930 เป๊ปซี่ได้รับความนิยมจากการขายน้ำอัดลมในปริมาณสองเท่าในราคาเดียวกับโคคา-โคล่า (นั่นคือ 12 ออนซ์ในราคาเดียวกับ 6 ออนซ์ของโคคา-โคล่า) นี่กลายเป็นจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา เป๊ปซี่มาพร้อมกับแนวทางใหม่ในทศวรรษที่ 1960 ซึ่งก็คือแคมเปญ "Pepsi Generation" พวกเขาพยายามเชื่อมโยงกับคนรุ่นใหม่ การกระทำนี้เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโคล่าอันโด่งดังกับโคคา-โคล่า
ในศึกสงคราม น้ำดำ ระหว่างเป๊ปซี่และโค้ก ตัวเลขในปี 2020 บอกเราว่าโค้กครองตลาดส่วนใหญ่ด้วย 43.7% ในขณะที่เป๊ปซี่มี 24.1% นี่แสดงให้เห็นถึงความชอบและความภักดีของผู้บริโภคต่อแบรนด์
สงครามโคล่า (Cola Wars) เป็นหนึ่งในการต่อสู้ทางการตลาดที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์การตลาด โดยมีแคมเปญ Pepsi Generation เป็นสัญลักษณ์ เริ่มต้นในปี 1975 เมื่อเป๊ปซี่จัดการทดสอบรสชาติแบบปิดตาเพื่อดูว่าผู้คนชอบผลิตภัณฑ์ใดมากกว่ากันระหว่างเป๊ปซี่หรือโคคา-โคล่า ซึ่งทำให้เป๊ปซี่โด่งดังมาก โคคา-โคล่าไม่สามารถอยู่เฉยได้และรู้สึกว่าจำเป็นต้องทำอะไรบางอย่าง ในปี 1985 โคคา-โคล่าตอบโต้ด้วยการเปลี่ยนสูตรเป็น "New Coke" แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ผลดีนัก ในที่สุดพวกเขาก็กลับมาใช้สูตรดั้งเดิมและเรียกมันว่า "Coca-Cola Classic" นี่เป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับทั้งสองบริษัท
การสนับสนุนผลิตภัณฑ์โดยบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังมาโดยตลอด บริษัทต่างๆ เชื่อว่าการมีเซเลบริตี้สนับสนุนผลิตภัณฑ์จะทำให้ผู้คนสนใจผลิตภัณฑ์นั้นมากขึ้น เป๊ปซี่และโคคา-โคล่าใช้กลยุทธ์นี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยมีบุคคลสำคัญอย่างไมเคิล แจ็คสันและบริตนีย์ สเปียร์สเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับเป๊ปซี่ ในขณะที่โคคา-โคล่ามีเซเลบริตี้อย่างเซเลน่า โกเมซ, มาริลิน มอนโร และคนอื่นๆ ในช่วงเวลาต่างๆ การสนับสนุนเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มการมองเห็นของแบรนด์เท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ด้วยการเชื่อมโยงกับเสน่ห์และความน่าดึงดูดของเหล่าเซเลบริตี้
ในปัจจุบัน การรักษาสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้คนจำนวนมาก บริษัทอย่างเป๊ปซี่และโคคา-โคล่าได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ และพวกเขาได้ปรับตัวตามกระแสนี้ด้วยการขยายตัวเลือกของพวกเขา เพิ่มทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ เช่น น้ำผลไม้ น้ำเปล่า และเครื่องดื่มที่มีแคลอรีต่ำ โฆษณาของพวกเขายังเปลี่ยนไปโดยเน้นคุณค่าทางโภชนาการของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ การเปลี่ยนแปลงนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของบริษัทในการคำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภค
ในช่วงทศวรรษที่ 1980 เป๊ปซี่ได้สร้างสรรค์แนวคิดอันชาญฉลาดที่เรียกว่า "Pepsi Challenge" ซึ่งเป็นการทดสอบรสชาติแบบปิดตา โดยผู้คนไม่รู้ว่าพวกเขากำลังดื่มน้ำอัดลมยี่ห้อใดระหว่างเป๊ปซี่หรือโคคา-โคล่า นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่กล้าหาญซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายของเป๊ปซี่และทำให้แบรนด์นี้เป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์ที่มั่นใจ ไม่ยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ และเน้นกลุ่มคนรุ่นใหม่ อีกหนึ่งแคมเปญที่น่าทึ่งคือ "The Choice of a New Generation" แคมเปญนี้มีเหล่าคนดังในยุคนั้นมาช่วยเสริมภาพลักษณ์ของเป๊ปซี่ให้ดูเท่ห์และทันสมัยสำหรับคนรุ่นใหม่
ในขณะเดียวกัน โคคา-โคล่ามีความสามารถพิเศษในการสร้างแคมเปญที่ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นและมีความสัมพันธ์กัน จำแคมเปญ "Share a Coke" ได้ไหม? ซึ่งมีขวดน้ำอัดลมที่มีชื่อเฉพาะบุคคล ทำให้การซื้อน้ำอัดลมกลายเป็นเรื่องส่วนตัวและสนุกสนานยิ่งขึ้น มันเสริมสร้างภาพลักษณ์ของโคคา-โคล่าให้เป็นแบรนด์ที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน และใครจะลืมรถบรรทุกคริสต์มาสได้? โฆษณา "The holidays are coming" มักเป็นสัญญาณเริ่มต้นของเทศกาลแห่งความสุข ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นและมีความสุข โคคา-โคล่ารู้ดีว่าจะสร้างความสุขและเฉลิมฉลองอย่างไร
ความพยายามในการโฆษณาเหล่านี้มีอิทธิพลต่อการรับรู้ของผู้คนต่อเป๊ปซี่และโคคา-โคล่า เป๊ปซี่เป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์ที่เท่ห์และกล้าหาญ มีความปรารถนาที่จะท้าทายสิ่งเดิมๆ และสำรวจความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในทางกลับกัน โคคา-โคล่าได้วางตำแหน่งตัวเองเป็นสัญลักษณ์คลาสสิกที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน ทำให้ช่วงเวลาต่างๆ มีความสุขและสนุกสนานมากยิ่งขึ้น
เป๊ปซี่ และ โคคา-โคล่า ทำการสร้างความตื่นเต้นด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่เป็นตัวช่วยดึงดูดความสนใจของผู้คนและสร้างความตื่นเต้น การใช้นวัตกรรมทางการตลาด เช่น การเผยภาพตัวอย่างผลิตภัณฑ์ และการร่วมมือกับบุคคลที่มีชื่อเสียง ทำให้ประสบการณ์โดยรวมน่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น
ด้านบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของความสวยงาม แต่ยังออกแบบให้ใช้งานง่าย สะดวกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งมอบประสบการณ์ที่ดีในการแกะกล่อง ตัวอย่างเช่น ขวดโคคา-โคล่าที่มีชื่อของผู้คน หรือบรรจุภัณฑ์ที่ใช้งานง่ายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นั้นแสดงให้เห็นว่าบรรจุภัณฑ์สามารถสร้างความโดดเด่นให้กับแบรนด์และมีอิทธิพลต่อความชอบของผู้บริโภค นอกจากนี้การตลาดยุคดิจิทัลได้เปลี่ยนแปลงวิธีที่แบรนด์เชื่อมต่อกับผู้คน ปัจจุบันทั้ง 2 แบรนด์ต่างใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในการเชื่อมต่อกับผู้บริโภคโดยตรง
โคคา-โคล่าและเป๊ปซี่มีความเชี่ยวชาญในการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อให้เข้ากับตลาดโลกที่แตกต่างกัน พวกเขาไม่เพียงแค่แปลคำพูด แต่ยังเปลี่ยนสี รูปแบบ และข้อความให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมท้องถิ่นต่างๆ แคมเปญ "Open Happiness" ของโคคา-โคล่ามีธีมสากลเกี่ยวกับความสุขและการอยู่ร่วมกัน โดยมีการนำเสนอคนดังในท้องถิ่นและสิ่งต่างๆ ที่อ้างอิงทางวัฒนธรรมของแต่ละวัฒนธรรม เพื่อให้การเชื่อมต่อมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นสำหรับผู้คนในพื้นที่นั้น
ความเข้าใจและการเคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรมมีความสำคัญอย่างยิ่ง โคคา-โคล่าและเป๊ปซี่ได้เรียนรู้แง่มุมนี้ การเดินทางของเป๊ปซี่ไปยังอินเดียเป็นตัวอย่างที่ดี ในระหว่างการขยายตัวของเป๊ปซี่เข้าสู่อินเดีย พวกเขาไม่เพียงแค่โฆษณาผลิตภัณฑ์ของพวกเขา แต่ยังมีส่วนร่วมในส่วนสำคัญของวัฒนธรรมอินเดีย นั่นคือกีฬาคริกเก็ต ด้วยวิธีนี้ พวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมสันทนาการของชาวอินเดีย
กลยุทธ์ของโคคา-โคล่าในประเทศจีนแสดงให้เห็นว่าการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นสามารถประสบความสำเร็จได้ พวกเขารวมสัญลักษณ์ของจีนและร่วมมือกับศิลปินยอดนิยมเพื่อให้เป็นที่รู้จักของชาวจีน ในทางกลับกัน เป๊ปซี่มีปัญหากับฟิลิปปินส์เนื่องจากความผิดพลาดในการสร้างแบรนด์ที่ไม่เคารพประเพณีท้องถิ่น สิ่งนี้เน้นย้ำถึงความท้าทายที่มาพร้อมกับการตลาดระดับโลก
โคคา-โคล่า เรียกกลยุทธ์การกำหนดราคาของตนว่า "การกำหนดราคาตามคู่แข่ง" บริษัทวิเคราะห์กลยุทธ์การกำหนดราคาของคู่แข่ง ดูว่าผลิตภัณฑ์ที่เทียบเคียงกันได้มีการกำหนดราคาอย่างไร และพยายามกำหนดราคาของตนเองให้อยู่ในระดับเดียวกับคู่แข่ง
กลยุทธ์การกำหนดราคานี้มักจะขึ้นอยู่กับความเป็นเลิศในการผลิต การบริการที่ยอดเยี่ยม และองค์ประกอบทางการตลาดอื่นๆ ที่ดึงดูดลูกค้าให้มาซื้อผลิตภัณฑ์ของโคคา-โคล่า เนื่องจากราคาของบริษัทจะเทียบเท่ากับคู่แข่ง
เป๊ปซี่โค จะเป็นผู้กำหนดราคาในอุตสาหกรรม โดยกำหนดราคาสินค้าตามความต้องการของลูกค้า บริษัทเสนอเครื่องดื่มขนาดต่างๆ ในราคาที่แตกต่างกัน ซึ่งกำหนดโดยปริมาณเครื่องดื่มที่จัดหาและบริโภคในแต่ละพื้นที่ ตัวอย่างเช่น แม้ว่า Doritos และ Tostitos จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใกล้เคียงกัน แต่ Doritos เป็นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลกมากกว่า จึงอาจมีราคาแตกต่างกันไปตามความนิยม
เช่นเดียวกับโคคา-โคล่า ราคาของเป๊ปซี่โคยังขึ้นอยู่กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายด้วย เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เช่น Tropicana ผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่มข้ามตลาด เช่น Lipton และผลิตภัณฑ์ที่อิ่มตัวในตลาด เช่น Pepsi ล้วนมีราคาแตกต่างกันไป โดยพิจารณาจากกลุ่มลูกค้าเป็นหลัก
สถานการณ์ปัจจุบันของสงครามน้ำดำนั้น ทางฝั่ง เป๊ปซี่ใช้กลยุทธ์เน้นความบันเทิงเป็นหลัก โดยร่วมมือกับคนดังและจัดกิจกรรมสำคัญๆ เพื่อดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ การเน้นแพลตฟอร์มดิจิทัลและโซเชียลมีเดียช่วยให้พวกเขาสร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจและเป็นกระแสไวรัล ทำให้ผู้คนพูดถึงและแชร์ต่อๆ กันทางออนไลน์ ในขณะที่โคคา-โคล่าเน้นการสร้างแบรนด์ด้วยอารมณ์ โดยมีแคมเปญที่ให้ความรู้สึกสนุกสนาน ความเป็นหนึ่งเดียวกัน และประสบการณ์ร่วมกัน ตัวอย่างเช่น "เปิดความสุข" และ "Share a Coke" ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ในเชิงบวกในหลากหลายภูมิภาค
แม้ว่าจะมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่โคคา-โคล่ายังคงเป็นผู้นำในตลาดโลก ในปี 2023 แบรนด์น้ำอัดลมของโคคา-โคล่าครองตลาดสหรัฐอเมริกาด้วยส่วนแบ่งตลาด 69% ตามข้อมูลจาก AdAge เนื่องจากผู้คนทั่วโลกชื่นชอบแบรนด์ของพวกเขา อย่างไรก็ตาม เป๊ปซี่กำลังเติบโต ตามมาเป็นอันดับสองที่ 27% โดยเฉพาะในบางตลาด ด้วยการนำเสนอขนมและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ผู้คนต้องการในปัจจุบัน นอกจากนี้ทั้งเป๊ปซี่และโคคา-โคล่าต่างก็มีแฟนๆ ที่เหนียวแน่น แม้ว่าลูกค้าจะเริ่มหันไปสนใจทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ในอนาคต เป๊ปซี่และโคคา-โคล่าต่างก็มุ่งมั่นที่จะเป็นมากกว่าแค่บริษัทเครื่องดื่ม โคคา-โคล่าพยายามอย่างหนักที่จะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ง่าย ในขณะเดียวกัน เป๊ปซี่ก็ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเช่นกัน และยังลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดกับแบรนด์ของพวกเขา
สุดท้ายนี้การต่อสู้ระหว่างเป๊ปซี่และโค้กสอนบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการตลาดที่เหนือชั้น ทั้งสองแบรนด์ต่อสู้กันมายาวนาน ปรับกลยุทธ์อยู่ตลอดเพื่อให้ทันสมัย ตั้งแต่โฆษณาสร้างสรรค์ไปจนถึงการสร้างกระแสในโลกดิจิทัล พวกเขาปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่ผู้คนสนใจ การแข่งขันของพวกเขาไม่ได้เกี่ยวกับแค่ผลิตภัณฑ์ แต่เกี่ยวกับธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของการตลาด การเฝ้าดูพวกเขา ทำให้เราเรียนรู้ว่าแบรนด์สามารถพัฒนาและเชื่อมต่อกับลูกค้าได้อย่างไร ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
ที่มา hackernoon, investopedia และ adage