ถ้าเรียงภาพนี้ออกมาเป็นเรื่องราวก็จะได้ว่า..
เศรษฐีอายุน้อยสุดในภาพนี้ อยู่ที่ประเทศจีน ชื่อ จาง อี้หมิง มีอายุ 41 ปี ทำธุรกิจแพลตฟอร์มโซเชียลมิเดีย TikTok
ก่อนจะมาเป็นเศรษฐีในอายุเท่านี้ คุณ จาง อี้หมิง ก็เคยลองผิดลองถูกมาก่อน โดยตัวเขาเองเริ่มเรียนด้านการออกแบบ และ ผลิต อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ก่อนจะเปลี่ยนมาเรียนด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์ในภายหลัง
หลังเรียนจบคุณ อี้หมิง ได้เลือกทำงานในบริษัทสตาร์ทอัพที่มีพนักงานอยู่ไม่กี่คน ก่อนที่ต่อมาบริษัทจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนตัวเขาเองต้องรับผิดชอบทีมงานที่เป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ถึง 50 คน
คุณ อี้หมิง มักมีความสนใจที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ อย่างตอนที่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีปัญหาตัวเขาเองก็เข้าไปมีส่วนร่วมในการวางแผน
หรือจะเป็นด้านการขายที่ตัวเขาเองก็เคยไปพบลูกค้าร่วมกับผู้อำนวยการฝั่งเซลล์มาแล้ว ซึ่งคุณ อี้หมิง บอกว่า ประสบการณ์ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เขาออกมาตั้งบริษัท ByteDance แล้วประสบความสำเร็จ
มาต่อกันที่เศรษฐีอายุมากสุดในภาพนี้
ชายคนนี้มีอายุถึง 97 ปี.. มาจากประเทศสิงค์โปร์ มีชื่อว่าคุณ โก๊ะ เชง เหลียง เขาเกิดในครอบครัวยากจนแต่สร้างตัวขึ้นมาได้จากการซื้อสีทาบ้านมาผสมให้เจือจาง แล้วเอามาขายใหม่ในแบรนด์นกพิราบ
ก่อนที่ต่อมาคุณ เหลียง จะได้รับโอกาสจาก Nippon Paint บริษัทขายสีจากญี่ปุ่น ให้ผลิตสินค้าให้ โดยที่ตัวเขาเองก็คอยสะสมหุ้นของ Nippon Paint อยู่เรื่อย ๆ เพื่อเป็นเจ้าของกิจการ
ผ่านการเป็นพาร์ตเนอร์กับบริษัท และ จัดตั้งบริษัทที่มีชื่อว่า Wuthelam Holdings Ltd. ขึ้นมาเพื่อเข้าซื้อหุ้นเพิ่มจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
มาถึงตอนนี้ Wuthelam Holdings Ltd. เป็นเจ้าของหุ้น Nippon Paint ทั้งหมด 1,293 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 55% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด คิดเป็นมูลค่ารวมกัน 2,300 ล้านบาท กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดของบริษัท
กลายเป็นที่มาความร่ำรวยของเศรษฐีที่มีอายุมากสุดในภาพนี้
มาต่อกันที่ คนรวยสุดในภาพนี้อย่าง คุณ อีลอน มัสก์ ที่มีความมั่งคั่งสุทธิสูงถึง 11,400,000 ล้านบาท เป็นชายจากสหรัฐอเมริกาที่ทุกคนรู้จักกันในฐานะเจ้าของบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Tesla, และ SpaceX บริษัทผลิตยานอวกาศ ที่เป็นเจ้าของ Starlink อินเทอร์เน็ตพกพาความเร็วสูง
เส้นทางของคุณ มัสก์ นั้นขลุกอยู่กับเรื่องเทคโนโลยีมาโดยตลอดเริ่มตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท Zip2 ที่ทำเกี่ยวกับคู่มือท่องเที่ยวออนไลน์เป็นเจ้าแรก ๆ
มาจนถึง PayPal บริษัทรับชำระเงินชื่อดังของโลกร่วมกับบุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านธุรกิจ และ เทคโนโลยี ตอนนี้ อย่างเช่น
- Peter Thiel นักลงทุนคนแรกของ Facebook ที่ต่อมาเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta บริษัทที่มีมูลค่า 42,000,000 ล้านบาท ในปัจจุบัน
- Max Levchin วิศวกรซอฟต์แวร์ ที่ตอนนี้กลายเป็นผู้ก่อตั้ง และ ซีอีโอ ของบริษัท Affirm ผู้ริเริ่มโมเดล ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง หรือ Buy Now, Pay Later เป็นคนแรก ๆ
เรื่องราวตรงนี้ คงบอกกับเราว่า คุณ มัสก์ เป็นอีกคนที่ทำธุรกิจมาโดยตลอด มีจิตวิญญาณของผู้ประกอบการ
และยังทำธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องเทคโนโลยีอยู่เสมอ ซึ่งมีโอกาสเติบโตสูง สร้างความมั่งคั่งได้มากหากทำสำเร็จ
ส่วนอีกเรื่องที่ไม่พูดถึงก็คงจะไม่ได้ คือ คุณ มัสก์ ได้เจอกับเพื่อนร่วมทางเก่ง ๆ ทั้งคุณ Thiel และคุณ Levchin ซึ่งคงมีส่วนที่หล่อหลอมให้เขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างในทุกวันนี้ไม่มากก็น้อย
มาถึงคนที่มีความมั่งคั่งสุทธิน้อยสุดในภาพนี้ คือ คุณ ฟาม เญิต เฟือง มีความมั่งคั่งสุทธิอยู่ที่ 217,000 ล้านบาท อาศัยอยู่ในประเทศเวียดนาม เป็นเจ้าของ Vingroup บริษัทที่มีธุรกิจในเครือหลากหลาย อย่างเช่น อสังหาริมทรัพย์ ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย
แต่ก่อนจะมีธุรกิจในมือมากมายขนาดนี้ คุณ ฟาม เญิต เฟือง ก็มีชีวิตวัยเด็กที่ยากจนมาก่อน ซึ่งคุณแม่ของเขาต้องเปิดร้านชาริมถนนเพื่อเอาชีวิตรอด
แต่ด้วยความที่เป็นคนหัวดี โดยเฉพาะด้านคิดคำนวณ คุณ ฟาม เญิต เฟือง เลยสอบชิงทุนไปเรียนต่อที่สหภาพโซเวียตได้สำเร็จ
โดยหลังเรียนจบตัวเขาเองได้ลองเอาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากเวียดนามเข้าไปขายในยูเครน แล้วปรากฎว่าขายดีมาก จนต้องตั้งโรงงานผลิตขึ้นมา และจัดตั้งบริษัท Vingroup ขึ้น
โดยหลังจากนั้น Vingroup ก็เริ่มขยายธุรกิจไปยังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ไปจนถึงธุรกิจผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่เคยเป็นกระแสอย่าง VinFast
เรื่องราวของคุณ ฟาม เญิต เฟือง บอกอะไรกับเรา ?
ก็คงเป็นเรื่องที่ว่า ธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ในตอนนี้ อาจมีจุดเริ่มต้นมาจากจุดเล็ก ๆ แบบที่ คุณ ฟาม เญิต เฟือง เริ่มจากการเอาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปขายในต่างประเทศแล้วเติบโตดี
จนถึงกับต้องเปิดโรงงาน ตั้งบริษัทขึ้นมา ก่อนจะเอาเงินทุนที่ได้มาเชื่อมจุดไปยังธุรกิจอื่น ๆ จนกลายมาเป็นอาณาจักรธุรกิจยักษ์ใหญ่ของเวียดนามขึ้นมา
และสุดท้าย เราคงไม่ปฏิเสธไม่ได้ว่า คุณ ฟาม เญิต เฟือง เป็นผู้บริหารที่คิดต่อยอด และ ขยายการเติบโตได้อยู่เสมอ แบบที่นักลงทุนต้องการ
มาต่อกันที่ส่วนสุดท้ายของภาพนี้ นั่นก็คือ เรื่องที่ค้านความเชื่อของทุกคน
ถ้านึกถึงอิตาลีหลายคนก็คงนึกถึง แฟชั่นแบรนด์หรู หรือ รถยนต์
แต่รู้ไหมว่า จริง ๆ แล้วคนรวยสุดในประเทศอิตาลี ไม่ได้ทำธุรกิจที่ว่า แต่กลับทำธุรกิจผลิตช็อกโกแลต และเป็นเจ้าของแบรนด์อย่าง Nutella และ Ferrero
และชายที่เป็นเจ้าของ 2 แบรนด์นี้ ในวันนี้ ก็คือ คุณ โจวันนี เฟร์เรโร ทายาทผู้สืบทอดธุรกิจตระกูล เฟร์เรโร หลังจาก ปิเอโตร เฟอร์เรโร น้องชายของเขาเสียชีวิตลง
รายได้ ของ Ferrero Group
- ปี 2023 รายได้ 1,300,000 ล้านบาท
- ปี 2024 รายได้ 1,470,000 ล้านบาท
- ปี 2025 รายได้ 1,280,000 ล้านบาท
อาณาจักรขนมของ Ferrero นั้นใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นรองแค่ Mars เจ้าของ M&M และ Mondelez เจ้าของ Oreo, ลูกอม Halls
ซึ่งการสืบทอดอาณาจักรธุรกิจอันยิ่งใหญ่ตรงนี้ก็ทำให้คุณ โจวันนี เฟร์เรโร กลายเป็นเศรษฐีที่รวยสุดในอิตาลีเลยทีเดียว
และเศรษฐีคนสุดท้ายที่จะพูดถึงมาจากเกาหลีใต้
ถ้าพูดถึงเกาหลีใต้หลายคนอาจจะนึกถึงบริษัทที่ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลมากสุดในประเทศอย่าง Samsung
แต่ความจริงก็คือ ตระกูล Lee ที่ร่วมกันเป็นเจ้าของ Samsung กลับไม่ได้เป็นคนรวยสุดในเกาหลีใต้ แต่กลับเป็นเจ้าของธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ อย่างคุณ โช จุง-โฮ
โดยเขาเป็นเจ้าของกลุ่มการเงินที่มีชื่อว่า Meritz Financial Group ที่เป็นเจ้าของธุรกิจการเงินทั้ง ธุรกิจหลักทรัพย์, จัดการสินทรัพย์, ประกัน, เงินทุน
คุณ โช จุง-โฮ เป็นลูกชายคนเล็กสุดของคุณ โช ชุง-ฮุน เจ้าของบริษัท Hanjin Group ที่ทำธุรกิจขนส่ง และเป็นเจ้าของสายการบิน Korean Airlines
คุณ โช จุง-โฮ ได้สืบทอดธุรกิจด้านการลงทุน และ หลักทรัพย์ ต่อจากคุณพ่อ โดยก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นผู้อำนวยการธุรกิจหลักทรัพย์ของบริษัท Hanjin มาก่อน
ปัจจุบัน คุณ โช จุง-โฮ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Meritz Financial Group ถือหุ้นทั้งหมด 97,747,034 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 51.3% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
ถ้าจะสรุปเรื่องราวทั้งหมดนี้ ก็คงเป็นว่า
- เศรษฐีบางคนอาจรวยจากการสืบทอดธุรกิจครอบครัว แต่ก็มีเศรษฐีไม่น้อยที่ร่ำรวยจากการสร้างธุรกิจขึ้นมาเอง และ ลงทุน
- การเป็นคนรวยสุดในประเทศเกิดจากความเป็นเจ้าของในกิจการของตัวเองในสัดส่วนที่มาก
- คนที่มีความมั่งคั่งสุทธิสูงมาก มักทำธุรกิจที่เป็นเทรนด์ใหม่ ๆ อย่างธุรกิจเทคโนโลยีแบบคุณ อีลอน มัสก์ หรือ คุณ จาง อี้หมิง
- คนที่สำเร็จจากการสร้างธุรกิจด้วยตนเอง เกิดจากการทำให้มากจนกลายเป็นประสบการณ์ และต่อยอดมันออกมาให้ได้
ที่มา: companiesmarketcap.com, forbes.com, globalleaderstoday.online, marketscreener.com, vingroup.net