หากนักการตลาดอย่างอยากเริ่มทำธุรกิจ ก็คงต้องเริ่มจากการหาช่องว่างในตลาด บวกกับแผนธุรกิจที่ชัดเจน ทำให้โมเดลธุรกิจนี้มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง ทำให้หลายๆคนมักเลือกโมเดลนี้แทนที่จะเลือกทำธุรกิจจาก Passion
Passion คำๆนี้หลายๆคนอาจมองว่า Passion กินไม่ได้ หากวันใดที่เราหมด Passion แปลว่าเราหมดไฟ หมดทางออก หรือหมดทางสู้ และสิ่งนี้ไม่ได้มีอะไรมาการันตีถึงความสำเร็จ แต่สิ่งเหล่านี้กลับใช้ไม่ได้กลับร้านสลัดจานโต ธุรกิจที่เริ่มจาก Passion อย่าง ‘โอ้กะจู๋’ ที่สามารถขยายสาขาได้ถึง 33 สาขา และกวาดรายได้ 1,215 ล้านบาทในปี 2566 ที่ผ่านมา
บทความนี้ SPOTLIGHT ชวนทุกคนมา ถอดความบทเรียนความสำเร็จ ‘โอ้กะจู๋’ธุรกิจที่เริ่มจาก Passion สู่รายได้พันล้าน ที่ตอนนี้พร้อมตั้งเป้าขยายร้านทั่วประเทศไทย ทะยานฝันสู่การโกอินเตอร์ จากงาน Thailand Restaurant Conference 2024 เล็ก ฟัดใหญ่
คุณโจ้ จิรายุทธ ภูวพูนผล หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ ได้เล่าว่า โอ้กะจู๋เริ่มต้นจากคุณโจ้ที่มีความฝัน "โตมาอยากเป็นชาวสวน ปลูกผักไว้ขาย" ตามประสาคนต่างจังหวัดที่มาจากครอบครัวเกษตรกร และช่วงที่คุณโจ้ไปเรียนปริญญาตรีที่เชียงใหม่จึงได้มีความคิดริเริ่มกับคุณอู๋ ที่มีธุรกิจทางบ้าน ทั้งสองจึงได้วาดฝันการปลูกผักออแกนิคไว้ขาย เริ่มจากโรงเรือนหลังเล็กขนาด 6x30 เมตร เพื่อปลูกผักสลัดเพียง 6 ชนิด และมีพื้นที่ปลุกผักสวนครัวอื่นๆ เช่น แตงกวา มะเขือเทศ ผักบุ้ง
แต่หลังจากที่ปลูกผักออแกนิคไว้เพียงได้ ทั้งสองก็ได้มีความคิดริเริ่ม อยากให้ผู้บริโภคได้กินผักออแกนิคสดๆเยอะ จึงเป็นที่มาของร้านโอ้กะจู๋สาขาแรกเกิดขึ้นในพื้นที่ชานเมืองเชียงใหม่ มีพื้นที่รองรับลูกค้าได้เพียง 10 ที่นั่ง ตั้งอยู่หน้าแปลงผัก
โดยออกแบบร้านค้าให้ลูกค้าสามารถนั่งทานอาหารบนชานบ้านที่ยื่นไปในฟาร์มและหันหลังไปมองสวนผักได้ เป็นไอเดียการขายแบบ Farm to Table ที่ลูกค้ารู้ว่าสิ่งที่เขากำลังทานอยู่บนจาน ต้นมันเป็นยังไง โตมายังไง ถูกดูแลด้วยวิธีแบบไหน ทำให้ลูกค้าเริ่มชื่นชอบ และพูดถึงโอ้กะจู๋
คุณโจ้ ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ว่า “อยากให้ลูกค้ากินสลัด แบบอิ่มอกอิ่มใจ และอิ่มท้อง เราเลยเลือกเสิร์ฟสลัด potion ที่ใหญ่พอสมควร อยากให้ทานสลัดได้แบบเต็มที่ เพราะหลายๆที่ก็อาจจะเสิร์ฟสลัดแบบนิดเดียว สลัดเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบ หรือมีสลัดไว้ตกแต่งจานนิดหน่อย "
หลังจากที่ โอ้กะจู๋สาขาแรก ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย คุณโจ้ได้เล่าว่า มีผู้ใหญ่เข้ามาเสนอโอกาสเพื่อสานฝันให้โอ้กะจู๋ได้ขยายสาขาได้มากขึ้น สาขาที่ 2 จึงเลือกเป็นสาขาสนามบินเชียงใหม่
โดยสาขาที่ 2 เปรียบเสมือนสาขาศึกษาตลาด ลองดูว่าหากเรามี 2 สาขา เราจะสามารถรักษาคุณภาพของสินค้าได้ไหม เช่นเดียวกับการลองตลาด ว่าผู้บริโภคจะให้การรับตอบที่ดีหรือไหม ก่อนรุกจะเข้ามาทำตลาดในกรุงเทพครั้งแรก
“ร้านอาหารมีความซับซ้อน มีอะไรที่เฉพาะเจาะจงค่อนข้างเยอะ อย่างตัวผมเองก็ไม่ได้มีความเก่งความถนัดในทุกๆด้าน อาจจะลองใช้วิธีแบบผมก็ได้นะ ในการหาพาร์ทเนอร์คู่หูที่รู้ใจ มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน เพื่อมาร่วมกลุ่มกันทำ ถึงแม้ว่าสัดส่วนที่ออกมามันจะต้องหารกัน แต่ว่าภาพรวมหรือผลรวมขององค์กร มันน่าจะเติบโต และสามารถพัฒนาต่อยอดได้มากกว่า”
แม้ธุรกิจโอ้กะจู๋ จะเริ่มจากกลุ่มเพื่อน 3 คน นั้นก็คือ คุณชลากร เอกชัยพัฒนกุล (อู๋), คุณจิรายุทธ ภูวพูนผล (โจ้) และคุณวรเดช สุชัยบุญศิริ (ต้อง) แต่พวกเขาก็มีการแบ่งงานกันอย่างชัดเจนตามความถนัดของแต่ละคน
คุณโจ้ ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHTว่า “แม้มีการแบ่งงานกันอย่างชัดเจน แต่แน่นอนว่า บางอย่างมันไม่สามารถคุยกันลงตัวได้ 100% มีบางข้อต้องปรับจูนกัน เพื่อหาทางเข้าใจให้ตรงกันมากที่สุด และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ทุกอย่างจะต้องลิงค์เข้าหากันให้ได้”
นอกจากเพื่อนๆทั้ง 3 คน โอ้กะจู๋ยังเพิ่งเปิดรับเพื่อนคนที่ 4 เข้ามา นั้นก็คือ OR ซึ่งการเข้ามาของ OR ทำให้โอ้กะจู๋มีโอกาสในการขยายธุรกิจให้หลากหลายมากขึ้น และมีแผนแบบการทำงานอย่างชัดเจนตั้งแต่รายวัน/สัปดาห์/เดือน/ปี/ไปจนถึง 5-10 ปี ซึ่งเป็นการขยายศักยภาพ มองเห็น Direction ที่ชัดเจนของบริษัทจากการทำธุรกิจแบบวันต่อวัน
ทำให้ ปัจจุบัน โอ้กะจู๋ มีหน้าร้านทั้งหมด 33 สาขา (กำลังจะเปิดสาขาที่ 34) วัตถุดิบผักสดกว่า 95% มาจากแปลงผักของตนเอง และอีก 5% มาจากแปลงผักชาวบ้านเกษตรอินทรีย์
โดยคุณโจ้ ได้เล่าว่า “เมื่อได้ OR เข้ามาเป็นหุ้นส่วน ก็ได้คำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ว่าเมื่อเราทำธุรกิจมาถึงจุดหนึ่งแล้ว เราควรให้โอกาสกับทางชุมชนด้วย วัตถุดิบส่วนหนึ่งของแบรนด์จึงถูกปลูกโดยชุมชนชาวเกษตรที่ให้ความสำคัญกับเกษตรอินทรีย์ไม่แพ้กันกับแบรนด์เองเลย”
Oh Warps และ Oh! Juice 2 แบรนด์น้องใหม่ของโอ้กะจู๋ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปี 67 โดยทั้ง 2 แบรนด์เป็นการดึงเมนูหลักของโอ้กะจู๋ ที่เป็น Key Menus เดิม แต่ถอดออกมาจากเล่มเมนูโอ้กะจู๋ แต่ตอบโจทย์กลุ่มคนที่เร่งรีบ Grab and Go เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าของแบรนด์ได้ถี่ยิ่งขึ้น
โดยในปีนี้ Oh Warps มีแพลนขยายสาขาเพิ่มขึ้น 2 สาขา เช่นเดียวกันกับ Oh! Juice ที่ตั้งเป้าขยายถึง 10 สาขาบุกห้างดังในเมืองเพิ่มขึ้นอีกด้วย
คุณโจ้ ได้กล่าวกับ ทีม SPOTLIGHT ว่า อีกหนึ่งสิ่งที่วาดฝันไว้ คือการขยายสาขาโอ้กะจู๋ Oh! Juice และ Oh Warps ทั่วประเทศไทย รวมถึงการสร้างแบรนด์ใหม่ๆในอนาคตให้ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคให้ทั่วถึง รวมถึงเปิดขายแบบแฟรนไชส์ และขยายแบรนด์ในเครือโอ้กะจู๋ไปยังต่างประเทศ