‘อิแทวอน’ ที่ในเวลาปกติเต็มไปด้วยเสียงดนตรี และเสียงพูดคุยเฮฮาของคนรักการสังสรรค์จากทั่วทุกมุมโลก ในวันนี้ย่านกินดื่มชื่อดังในกรุงโซลแห่งนี้กลายเป็นฉากแห่งโศกนาฎกรรม เมื่อเกิดเหตุคนเบียดล้มทับกันในซอยลาดข้างโรงแรมฮามิลตัน จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 150 คนในคืนวันที่ 29-30 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยหนึ่งในนั้นเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย
จากตัวเลขที่เปิดเผยโดยทางการเกาหลี ในค่ำคืนนั้นมีผู้เข้าร่วมฉลองเทศกาลฮาโลวีนในอิแทวอนกว่า 100,000 คน! ทำให้พื้นที่ที่ส่วนมากที่เป็นร้านอาหารและบาร์ที่ถูกคั่นด้วยถนนเล็กๆ กลายเป็นพื้นที่แออัด
มีคนคาดว่าสาเหตุที่ทำให้มีคนจำนวนมากเดินทางเข้าไปมากเกินปกติในวันนั้น เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่นักท่องเที่ยวได้เข้าไปร่วมฉลองฮาโลวีนที่นั่น หลังเกาหลีปิดประเทศมา 2 ปี เพราะโควิด-19
แต่ทำไมคนเกาหลีและนักท่องเที่ยวจึงเลือกไปฉลองเทศกาลฮาโลวีนที่ ‘อิแทวอน’ ทั้งๆ ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายที่จัดงานเฉลิมฉลองเทศกาลนี้เช่นกัน อะไรทำให้อิแทวอนกลายเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการฉลองวัฒนธรรมตะวันตกในเกาหลีใต้ ในบทความนี้ทีมข่าว Spotlight สรุปมาให้ได้อ่านกัน
‘อิแทวอน’ ย่านที่มีความเป็น ‘นานาชาติ’ มาตั้งแต่สมัยโชซอน
อิแทวอนเป็นย่านที่นักท่องเที่ยวรู้จักกันดีอยู่แล้วว่าเป็นสถานที่ที่เป็นศูนย์รวมของชาวต่างชาติในเกาหลีคล้ายๆ ย่านสีลม ของบ้านเรา บางคนก็อาจจะรู้ลึกไปอีกว่า สถานที่นี้เคยเป็นสถานที่ตั้งฐานทัพอเมริกันในช่วงสงครามเกาหลี แต่แท้จริงแล้ว ความเป็นนานาชาติของอิแทวอนมีความเป็นมายาวนานกว่านั้น เพราะมันเป็นย่านที่เป็นศูนย์รวมของชาวต่างชาติในเกาหลีมาแล้วตั้งแต่สมัย “โชซอน” (1392-1910) หรือเทียบได้กับยุคราชวงศ์อู่ทอง เมื่อครั้งที่อยุธยาเป็นเมืองหลวงของไทยเลยทีเดียว
โดยอิแทวอนเป็นหนึ่งในสถานีทางผ่านข้ามเมืองของชาวเกาหลีมาแล้วทั้งแต่สมัยโครยอ แต่มามีความสำคัญมากขึ้นหลังเกาหลีย้ายเมืองหลวงไปเมือง ‘ฮันยาง’ หรือ ‘กรุงโซล’ ในปัจจุบัน เพราะอิแทวอนเป็นจุดเริ่มต้นของถนนจากเมืองหลวงที่มุ่งสู่ ‘ยองนัม’ หรือพื้นที่ทางใต้ของคาบสมุทรเกาหลีอันเป็นที่ตั้งของเมือง ‘ปูซาน’ และ ‘แดกู’ ทำให้อิแทวอนมีคนสัญจรผ่านเป็นประจำเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงคณะเดินทางต่างชาติที่เริ่มเข้ามาติดต่อกับเกาหลีในช่วง 1880s ทำให้มีสถานทูต โรงแรม และร้านรวงต่างๆ ตั้งขึ้นมาให้บริการนักเดินทางหนาแน่นเป็นเขตชุมชน
ย่านที่พักของหญิงบำเรอสงครามญี่ปุ่น และสุสานที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลี
แต่ถึงแม้จะเป็นสถานที่สัญจรสำคัญ นี่ก็ไม่ได้แปลว่าอิแทวอนจะเป็นเขตที่อยู่อาศัยอันสวยงามของชาวต่างชาติ เพราะหลังเกิดสงครามอิมจิน หรือสงครามที่ญี่ปุ่นบุกเข้ายึดครองเกาหลีครั้งแรกในปี 1592-1598 สถานที่นี้เคยเป็นที่รวมของเหล่า ‘ฮวันฮยางนยอ’ (還鄕女) หรือผู้หญิงที่กลับมาหลังจากถูกผู้รุกรานจับตัวไปเป็นเชลย และถูกล่วงละเมิดทางเพศจนตั้งท้อง และเป็นที่รังเกียจจากสังคมเพราะสังคมเกาหลีมองว่าผู้หญิงที่ถูกจับตัวไปทำให้ครอบครัวเสื่อมเสียเกียรติ
นอกจากนี้ อิแทวอนยังเคยเป็นสถานที่ตั้งของ “สุสานที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี” เพราะเป็นสถานที่ฝังศพของคนเกาหลีตั้งแต่สมัยโชซอนจนถึงปี 1937 ซึ่งเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เกาหลียังคงเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น โดยเมื่อเป็นสถานที่ฝังศพมานับร้อยปี และเกิดมีเมืองขึ้นล้อมรอบพื้นที่ พื้นที่นั้นจึงเกิดความแออัดและไม่เหมาะเป็นที่ฝังศพ จนรัฐบาลต้องจัดการย้ายโครงกระดูกเหล่านั้นไปไว้ที่อื่น แต่ในที่นั้นก็มีโครงกระดูกเยอะเสียจนในช่วงที่พัฒนาที่ดินเพื่อสร้างเป็นย่านการค้าเต็มที่ ก็ยังมีคนเจอชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์อยู่
การเข้ามาของกองทัพอเมริกันที่ทำให้อิแทวอนกลายเป็น ‘ย่านโคมแดง’ ของเกาหลี
หลังจากผ่านทั้งการรุกรานจากญี่ปุ่นและสงครามโลกครั้งที่ 2 อิแทวอนก็ได้ต้อนรับชาวต่างชาติอีกกลุ่ม นั่นก็คือ ‘ทหารอเมริกัน’ ที่เข้ามาตั้งฐานบัญชาการทหารในเขต ‘ยงซาน’ ซึ่งเป็นเขตที่อิแทวอนตั้งอยู่ ในช่วงสงครามเย็น (1945-1991) ทำให้อิแทวอนกลายเป็นเขตกินดื่มและตระเวณราตรีของทหารอเมริกัน และเป็นสถานที่ทำงานของคนเกาหลี โดยเฉพาะผู้หญิงขายบริการทางเพศ จนเกิดเขต “Hooker Hill” ขึ้นในเขตอิแทวอน อันเป็นเนินเขาที่เป็นที่ตั้งของซ่องโสเภณีจำนวนมาก
แต่นอกจากจะทำให้เกิดธุรกิจสีเทาเป็นจำนวนมากในย่านนั้นแล้ว การเข้ามาของทหารอเมริกันยังมาพร้อมกับวัฒนธรรมตะวันตกหลายอย่าง ทั้งในด้านอาหาร ดนตรี เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และเทศกาลต่างๆ ซึ่งนั่นก็รวมไปถึง ‘การเฉลิมฉลองเทศกาลฮาโลวีน’ ด้วย
โดยในช่วงปี 1960s ถึง 1970s อิแทวอนก็กลายเป็นย่านที่ทั้งคนพื้นที่และคนต่างชาติในเกาหลีรู้กันว่าเป็นแหล่งรวมทั้งอาหารและสิ่งของเครื่องใช้ของชาวตะวันตก รวมถึงเป็นมิตรกับคนต่างชาติเพราะคนในพื้นที่ส่วนมากใช้ภาษาอังกฤษ ทำให้เป็นสถานที่ที่ชาวต่างชาติเลือกไปพักผ่อนหย่อนใจ เพราะไม่ต้องลำบากกับการสื่อสารเหมือนในพื้นที่อื่น
และนี่ถึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ในช่วง 1970s เป็นต้นมา จึงมีคนต่างชาติเชื้อชาติอื่นนอกจากชาวอเมริกันเข้ามาตั้งถิ่นฐานและดำเนินธุรกิจในพื้นที่ โดยในปี 1976 เริ่มมีชาวต่างชาติที่มาจากประเทศมุสลิมเข้ามาอยู่ในพื้นที่และได้ตั้งมัสยิดกลางกรุงโซล ซึ่งเป็นมัสยิดแห่งแรกในเกาหลีขึ้น รวมไปถึงเข้ามาตั้ง ‘ร้านเคบับ’ และอาหารฮาลาลที่ยังคงเห็นได้ทั่วไปในเขตอิแทวอนในปัจจุบัน
และนอกจากชาวต่างชาติแล้ว ในปัจจุบันอิแทวอนยังเป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งพบปะสังสรรค์ของชาว LGBTQ+ โดยในพื้นที่มีบาร์ของชาวรักร่วมเพศ และทรานส์เจนเดอร์ตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก จนเกิดเป็น “Homo Hill” ขึ้นข้างๆ Hooker Hill ที่ก็ยังเป็นแหล่งผับบาร์ที่คนนิยมไปกันอยู่ ถึงแม้ในปัจจุบันจะไม่มีธุรกิจซ่องโสเภณีแล้ว เพราะรัฐบาลทำให้การขายบริการทางเพศผิดกฎหมายไปตั้งแต่ปี 1961
ผู้ที่ไปเยือนอิแทวอนมักจะได้ตื่นตาตื่นใจกับร้านอาหารนานาชาติแบบดั้งเดิมจำนวนมากที่ตั้งอยู่ทั้งริมถนนใหญ่ และตามตรอกที่สูงขึ้นไปบนเนินเขาทั้งสองฝั่ง นอกจากนี้ ยังมีร้านดื่มกินทั้งแบบราคาถูกและแบบหรูตั้งอยู่อย่างคับคั่ง จนเรียกได้ว่าเป็นย่านที่ผสมทั้งความเป็นตะวันออกและตะวันตก และความสบายๆ เป็นกันเอง และความหรูหราเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว
จากความเป็นมาอันยาวนานของย่านนี้ จะเห็นได้ว่าอิแทวอนเป็นย่านของคนที่ “แปลกแยก” ออกมาจากสังคมเกาหลีมักจะมารวมตัวกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติ หญิงชาวเกาหลีที่ถูกกีดกันออกมาจากสังคมเพราะตกเป็นนางบำเรอในยุคสงคราม รวมไปถึงคนในชุมชน LGBTQ+ ซึ่งยังไม่เป็นที่ยอมรับจากสังคมเกาหลีที่มีความอนุรักษ์นิยมในเรื่องเพศสูง รวมไปถึงเป็นที่ๆ ให้คนเกาหลีมา “ปลดปล่อย” เป็นตัวของตัวเองให้สุดเหวี่ยงในแบบที่ทำไม่ได้ในพื้นที่อื่น
ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์เศร้าสลดเช่นนี้แล้ว ก็น่าติดตามว่าชะตากรรมของย่านที่อุดมไปทั้งประวัติศาสตร์ และการผสมผสานวัฒนธรรมของหลายชาตืในแผ่นดินเกาหลี ที่เพิ่งจะได้ฟื้นตัวจากการระบาดของโควิตหมาดๆ นี้ จะหันเหไปทางใดอีก
ที่มา: The Wall Street Journal, Reuters, Namu Wiki