หนึ่งในข่าวที่เป็นที่พูดถึงมากที่สุดในตอนนี้คงหนีไม่พ้นกรณีหนุ่มขับกระบะออลนิวชนท้ายรถ ‘โรลส์ รอยซ์’ (Rolls Royce) ของสาวชาวจีน ที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ออกมาประเมินว่ารวมค่าซ่อมต่ำๆ น่าจะ 2 ล้าน เพราะกันชนท้ายก็ปาไป 3 แสนบาท ฝากระโปรงท้ายอีก 5 แสนบาท แถมไฟท้ายก็ข้างละ 3 แสน รวมเป็น 6 แสนแล้ว นี่ยังไม่รวมค่าทำสี ค่าแรง จิปาถะอื่นๆ อีก
เรียกได้ว่าถึงคราวซวยที่ไปชนรถแพง จนขนาดซ่อมรถตัวเองแล้วนำไปขายมือสองก็อาจจะยังไม่มีเงินพอชดใช้ค่าเสียหายให้กับคู่กรณี
แต่ ‘โรลส์ รอยซ์’ รถหรูสัญชาติอังกฤษ ที่มีอายุ 89 ปี มีอะไรพิเศษ ทำไมค่าอะไหล่และค่าซ่อมถึงได้แพงได้ขนาดนั้น? วันนี้ SPOTLIGHT ชวนมาหาคำตอบกัน
ข้อแรก ที่เป็นเอกลักษณ์ของรถโรลส์ รอยซ์ คือการที่มันเป็นรถที่ผู้ซื้อสามารถปรับแต่งได้เต็มที่ตามใจ ไม่ว่าจะเป็นสีและการตกแต่งภายนอกและภายใน เปรียบเสมือนเป็น โอต์กูตูร์ (Haute Couture) ของวงการรถที่ปรับแต่งได้ตามความชอบของผู้ใช้
โดยเมื่อคุณไปซื้อรถโรลส์ รอยซ์ คุณจะไม่ได้รับตารางราคามาให้ดูเทียบรุ่นเหมือนกับรถแบรนด์อื่นๆ เพราะราคาของมันขึ้นอยู่กับการตกแต่ง และวัสดุที่คุณเลือกใช้ในทุกองค์ประกอบของรถ ทำให้ถึงแม้โรลส์ รอยซ์แต่ละรุ่นจะมีราคาฐานของมันอยู่ เมื่อออกมาจากอู่แล้ว โรลส์ รอยซ์ แต่ละคันก็จะมีราคาไม่เท่ากันเลย
และในหมู่การตกแต่งเหล่านี้ สิ่งที่ทำให้โรลส์ รอยซ์ มีความพิเศษต่างจากแบรนด์อื่นชัดเจน ก็คือ ‘การทำสี’ ที่ทางผู้ผลิตมีให้ผู้ซื้อเลือกถึง 44,000 สี แต่ถ้าไม่ชอบสีไหนเลยใน 44,000 สีนี้ หรือมีสีที่อยากได้ไว้ในใจ ผู้ซื้อก็สามารถรีเควสและบรีฟได้เลยว่าจะเอาสีแบบไหน
อย่างเช่น ถ้าคุณบอกว่าอยากได้สีฟ้าเหมือนน้ำแข็งที่ขั้วโลกใต้ โรลส์ รอยซ์ ก็จะส่งพนักงานไปดูสีให้คุณ ทำพาเลตสีมาให้คุณดู เพื่อให้คุณได้สีที่ตรงใจที่สุด และถ้าสีนั้นเป็นสีที่ไม่เคยมีมาก่อน สีนั้นก็จะถูกตั้งชื่อตามชื่อของคุณ และในอนาคตถ้ามีใครอยากใช้สีของคุณ เขาก็จะต้องมาขออนุญาตคุณด้วย
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำไมค่าทำสีของโรลส์ รอยซ์ ถึงแพงมหาโหด เพราะซ่อมสีแต่ละทีต้องมีการผสมสีใหม่ ยิ่งถ้ามีวิธีหรือเทคนิคลงสีแบบพิเศษก็จะยิ่งแพงเข้าไปอีก แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความเอ็กซ์คลูซีฟ เพราะเชื่อได้ว่าในโลกนี้ไม่มีโรลส์ รอยส์ ที่ไหนสีเหมือนรถของเราแน่นอน
เนื่องจากมันเป็นรถที่ปรับแต่งตามใจคนซื้อได้ ของตกแต่งภายในของรถจึงไม่สามารถใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในโรงงานทีละมากๆ มาทำเหมือนรถยนต์ทั่วไปได้ แต่ต้องใช้คนจริงๆ นั่งทำนั่งตกแต่งด้วยมือ ไม่ว่าจะเป็นเบาะที่นั่ง คอนโซลรถ พวงมาลัย และอื่นๆ ทำให้ทุกชิ้นส่วนเปรียบเสมือนเป็นงานคราฟท์ที่สั่งทำโดยผู้ซื้อ
เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดชิ้นส่วนเหล่านี้เกิดพังหรือเสียหายขึ้นมา ก็ต้องใช้ช่างคนเดียวกันหรือคนที่มีฝีมือในระดับเดียวกัน ซึ่งแน่นอนว่า ตามมาด้วยค่าใช้จ่ายแพงหูฉี่ ทั้งจากค่าแรง และค่าวัสดุที่ใช้
นอกจากค่าฝีมือแล้ว รถโรลส์ รอยซ์ ยังแพงด้วยวัสดุที่ใช้ โดย โรลส์ รอยซ์ จะมีซัพพลายเออร์วัสดุเป็นพิเศษของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นหนัง ไม้ หรืออื่นๆ เพื่อให้แน่ใจว่าวัสดุที่นำมาทำอุปกรณ์ตกแต่งให้ลูกค้านั้นมีคุณภาพดีสูงสุด
โดยหลังจากได้รีเควสจากทางลูกค้ามาแล้ว บริษัทจะส่งพนักงานไปคัดวัสดุ และส่งแบบกลับมาให้ลูกค้าเลือก เพื่อให้ลูกค้าได้ลาย สี และผิวสัมผัสที่ตรงใจมากที่สุด
ด้วยความพรีเมียมขนาดนี้ ถ้าอุปกรณ์เหล่านี้เกิดเสียหายขึ้นมาไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม บริษัทก็จะต้องกลับไปหาวัสดุแบบเดียวกันนี้จากซัพพลายเออร์ และนำมาให้ช่างทำให้อีกครั้ง ทำให้การซ่อมแซมทุกส่วนประกอบในรถโรลส์ รอยซ์นั้นมีค่าใช้จ่ายหลายทบมาก ไม่ว่าจะเป็นค่าขนส่ง ค่าวัสดุ และค่าทำชิ้นส่วนนั้นขึ้นมาใหม่
ใครดูหนังต่างประเทศบ่อยๆ แล้วเคยเห็นฉากตัวเอกไปงานพรอมแล้วหยิบแชมเปญหรือไวน์ขึ้นมาดื่มกันในรถ น่าจะรู้ดีว่าความพิเศษ อีกอย่างของโรลส์ รอยซ์ คือ การใส่ฟีเจอร์และแกดเจ็ดต่างๆ เข้าไปได้ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายสูงสุดของผู้ใช้ ทั้งตู้เย็นเล็กแบบ built-in หรือการใส่โต๊ะปิกนิก บาร์เครื่องดื่มขนาดย่อมๆ ไว้หลังรถไว้ในบางโมเดล เช่น รุ่น Phantom
แต่นอกจากอุปกรณ์สำหรับการดื่มกินแล้ว โรลส์ รอยซ์ ยังมีแกดเจ็ตอื่นๆ อีก เช่น ม่านดำที่ผู้ใช้สามารถดึงขึ้นมาปิดกระจกได้เพียงแค่ปลายนิ้วกด และฟีเจอร์ starlight headliner หรือเพดานติดไฟดวงเล็กๆ เหมือนดาวที่ทำให้ผู้ขับรู้สึกคล้ายเหมือนมีท้องฟ้าจำลองส่วนตัวในรถ ซึ่งเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่เป็นเอกลักษณ์ของรถโรลส์ รอยซ์ และมีราคาแพงมาก เพราะต้องใช้เวลาทำถึง 16 ชั่วโมง
ถึงแม้คุณสมบัติในการปรับแต่งจะทำให้ดูเหมือนว่า จุดเด่นของโรลส์ รอยซ์ อยู่ที่ความสวยงามเป็นหลัก นวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่ของโรลส์ รอยซ์ ก็ไม่แพ้ใคร เนื่องจากโครงรถของโรลส์ รอยซ์ทำมาจากอะลูมิเนียมทั้งคัน ทำให้ตัวรถทั้งแข็งแรงและมีน้ำหนักเบา ขับขี่ได้อย่างคล่องตัว
นอกจากนี้ ทุกองค์ประกอบของโรลส์ รอยซ์ ยังถูกออกแบบมาให้ประสบการณ์การขับขี่นุ่มนวลและสะดวกสบายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อโรลส์ รอยซ์ ให้การออกรถ เปลี่ยนเกียร์ หรือหยุดรถนุ่มนวลที่สุด, การบุตัวรถให้กันเสียงภายนอกได้ 100% และยางรถยนต์บุโฟมสั่งทำพิเศษจากผู้ผลิตยาง Continental ที่ทำให้ยางรถของโรลส์ รอยซ์แทบไม่ทำเสียงรบกวนทั้งผู้นั่งและผู้คนภายนอก
จากข้อมูลทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่าความแพงของโรลส์ รอยซ์ เป็นสิ่งที่เกิดมาจากความเป็นงานคราฟท์ ความเอ็กซ์คลูซีฟของตัวรถ ที่เกิดขึ้นจากการที่โรลส์ รอยซ์เปิดโอกาสให้ลูกค้าปรับแต่งตัวรถได้ตามใจในทุกส่วน และความใส่ใจในการทำงาน เก็บรายละเอียดให้ลูกค้าได้รับสินค้าที่มีคุณภาพและตรงใจที่สุด
ซึ่งการเปิดให้ลูกค้า customize งานได้ทุกขั้นตอนนี้ ถึงแม้จะทำให้ลูกค้าได้รถสั่งทำที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใครในโลก มันก็ยังทำให้การดูแลทุกชิ้นส่วนของโรลส์ รอยซ์ เรียกได้ว่าเป็น high maintenance เพราะต้องไปข้องเกี่ยวกับคนหลายกลุ่ม มีค่าใช้จ่ายหลายขั้นตอน ที่ทำให้การซ่อมแซมชิ้นส่วนโรลส์ รอยซ์แต่ละครั้งมีมูลค่าสูงมากกว่ารถทั่วไปหลายเท่าอย่างช่วยไม่ได้ไปด้วย
อ้างอิง: The Cold Wire, So Expensive