‘ยัสปาล’ (Jaspal) เครือแบรนด์เสื้อผ้าและสินค้าไลฟ์สไตล์ส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งของไทย ประกาศแผนรุกตลาดอาเซียนต่อเนื่อง ตั้งเป้าปี 2567 เปิดสาขาอีก 44 สาขา ทั้งในเวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ และอีก 64 สาขาในไทย พร้อม IPO ลิสต์หุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 สาขามากที่สุดในไทย
นายวิเศษ สิงห์สัจจเทศ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยัสปาล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มบริษัทฯ เป็นบริษัทสัญชาติไทยที่มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและรองเท้าเฉพาะอย่างของประเทศไทย (อ้างอิงจาก Euromonitor International)
ในช่วงปี 2563 ปี 2564 และปี 2565 ยัสปาลมีส่วนแบ่งตลาดในไทยถึง 8.4%, 10% และ 10.5% ตามลำดับ สะท้อนถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจด้วยประสบการณ์ที่มีความเข้าใจในอุตสาหกรรมและมีประสบการณ์การออกแบบและจัดหาผลิตภัณฑ์ โดยยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง
โดยในปัจจุบัน ยัสปาลมีแบรนด์ในการดูแลถึง 25 แบรนด์ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มสินค้า คือ
1. กลุ่มแบรนด์สินค้าแฟชั่น 19 แบรนด์ ที่ยัสปาลเป็นผู้ผลิต จัดหา และจัดจำหน่าย และมีแบบหลากหลายรวมมากกว่า 113,000 SKUs โดยสามารถแบ่งย่อยเป็นได้อีก 2 ประเภท คือ
1.1 กลุ่มแบรนด์ In-House ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ยัสปาลสร้างและผลิตสินค้าเอง 10 แบรนด์ เช่น Jaspal, Misty Mynx, CC Double O, CPS Chaps, Royal Ivy Regatta, Quinn
1.2 กลุ่มแบรนด์ Import ซึ่งเป็นแบรนด์ต่างประเทศที่ยัสปาลมีสิทธินำสินค้าเข้ามาจัดจำหน่ายในประเทศไทย 9 แบรนด์ เช่น Oasics, Fred Perry, Diesel, Superdry, Champion และ Mango
2. กลุ่มแบรนด์ที่นอนและเครื่องนอน 6 แบรนด์ เช่น Santas และ Sealy
นอกจากนี้ ยัสปาลยังเป็นเครือสินค้าเครื่องแต่งกายมีช่องทางในการจำหน่ายที่หลากหลายและครอบคลุม และมีจำนวนสาขาหน้าร้านมากที่สุดในประเทศ ด้วยจุดจำหน่ายสินค้าทั้งหมด 970 สาขา แบ่งเป็นประเทศไทย 888 สาขา และสาขาต่างประเทศอีก 82 สาขา ใน 3 ประเทศ คือ 36 สาขาในเวียดนาม 31 สาขาในกัมพูชา และ 15 สาขาในมาเลเซีย
ด้วยสินค้าที่หลากหลาย และช่องทางการขายที่ครอบคลุมทั้งประเทศ นี่จึงทำให้ยัสปาลมีความสามารถในการทำกำไรที่ใกล้เคียงกับบริษัทระดับโลกคือ มีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 51.7% ในปี 2565 และสามารถทำรายได้และสร้างกำไรมาได้ติดต่อกันทุกปี
โดยในปี 2565 ยัสปาลมีรายได้ถึง 11,854.33 ล้านบาท และกำไรถึง 914.5 ล้านบาท และสามารถทำรายได้สำหรับไตรมาสของปี 2566 ได้ทั้งหมด 2,932.56 ล้านบาท คิดเป็นกำไร 242.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 188% จากช่วงเดียวกันของปี 2565 คิดเป็นรายได้จากสาขาต่างประเทศทั้งหมด 676 ล้านบาท จากเวียดนาม 379 ล้านบาท กัมพูชา 211 ล้านบาท มาเลเซีย 86 ล้านบาท
ปี 67 ตั้งเป้าเพิ่ม 44 สาขาในอาเซียน ตีตลาดฟิลิปปินส์เพิ่ม
ในช่วงครึ่งปีหลัง และปี 2567 ยัสปาลมีเป้าหมายที่จะขึ้นเป็นผู้นำด้านธุรกิจแฟชั่นไลฟ์สไตล์ในภูมิภาคอาเซียน และมีแผนในการขยายธุรกิจ ทั้งด้วยการขยายสาขาและจุดจำหน่ายสินค้า การเพิ่มช่องทางการจำหน่ายต่างๆ ตามการเปลี่ยนแปลงและเทรนด์ของอุตสาหกรรม และการขยายตลาดเข้าสู่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน
นอกจากนี้ ยัสปาลยังมีแผนขยายทีมพัฒนาแบรนด์ และทีมออกแบบซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 125 คน เพื่อรองรับการเติบโตและแผนการนำเสนอแบรนด์สินค้าที่เป็น In House Brand ที่มีความหลากหลายในอนาคต
สำหรับปี 2566 นายวิเศษ เผยว่า ยัสปาลมีแผนที่จะขยายสาขาให้ได้ทั้งหมด 81 สาขา แบ่งเป็นสาขาสำหรับแบรนด์ In House 60 สาขา และแบรนด์อิมพอร์ทอีก 21 สาขา และเป็นสาขาในประเทศ 43 สาขา สาขานอกประเทศ 38 สาขา
ส่วนในปี 2567 ยัสปาลมีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มทั้งหมด 100 สาขา แบ่งเป็นสาขาในประเทศ 64 สาขา และสาขาต่างประเทศ 44 สาขา โดยจะมีการเปิดสาขาแรก 1 สาขาในฟิลิปปินส์ ประเดิมด้วยร้าน Lyn เพราะมองว่าแบรนด์กระเป๋าและรองเท้าจะสามารถเจาะตลาดได้เร็วกว่า เพราะจะทำให้ไม่ต้องมีการปรับไซซ์ซิ่ง หรือการทำไซส์สำหรับลูกค้าในแต่ละประเทศ
โดยในเบื้องต้น ยัสปาลมีแผนที่จะขยายตลาดไปในประเทศอาเซียนรอบๆ ก่อน เพราะมองว่าผู้บริโภคมีรสนิยมและพฤติกรรมการใช้จ่ายคล้ายๆ กัน ทำให้สะดวกต่อการทำการตลาด แต่ในอนาคตหากยึดตลาดในแถบนี้ได้อย่างมั่นคงแล้วก็อาจจะขยายธุรกิจไปยังตลาดอื่นๆ นอกเหนือจากประเทศในภูมิภาค
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2566 บมจ.ยัสปาล หรือ JPC ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว โดยมีแผนจะออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 156 ล้านหุ้น คิดสัดส่วนไม่เกิน 26% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด
ณ ปัจจุบัน แบบคำขออนุญาตและร่างหนังสือชี้ชวนอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ