5 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจสายมูเติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อและความศรัทธาของคนไทยที่มีต่อศาสตร์ลี้ลับต่างๆ ปัจจุบันมีธุรกิจสายมูจดทะเบียนอย่างถูกต้องทั้งสิ้น 134 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 135.89 ล้านบาท โดยกรุงเทพมหานครมีจำนวนธุรกิจสายมูมากที่สุด 62 ราย คิดเป็น 46.27% ของธุรกิจสายมูทั้งหมด
เจาะธุรกิจสายมู เทรนด์โตแรง คนไทยนิยมมูเตลูมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z
เมื่อเร็วๆนี้ นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยว่า ธุรกิจสายมูเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เติบโตอย่างน่าทึ่ง ผู้ประกอบการหลายรายนำ “ความเชื่อ” มาต่อยอดเป็นสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค กลยุทธ์สำคัญของธุรกิจสายมู คือ การนำศาสตร์สายมูมาผสมผสานกับการตลาด (Muketing คือ การตลาดที่จะนำความเชื่อของคนมาผสมผสานกับประสบการณ์และข้อมูลของแต่ละธุรกิจ เพื่อจะมาดึงดูดให้ผู้บริโภคสนใจในธุรกิจนั้นมากยิ่งขึ้น) ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ตัวอย่างกลยุทธ์ที่ใช้ ได้แก่
- การจัดแคมเปญผ่านอินฟลูเอนเซอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความเชื่อ หรือบุคคลที่มีชื่อเสียง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
- การออกแบบสินค้าและบริการที่ตอบสนองความเชื่อ เช่น วอลเปเปอร์มือถือรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เครื่องประดับมงคล เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของวัตถุมงคล
- การนำเสนอสินค้าและบริการที่มีความหมาย เช่น หมายเลขโทรศัพท์มงคล การออกแบบบ้านตามหลักฮวงจุ้ย
ตัวอย่างสินค้าและบริการสายมูที่ได้รับความนิยม
- วอลเปเปอร์หน้าจอโทรศัพท์มือถือที่มีรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไพ่ต่างๆ
- เครื่องแต่งกาย กระเป๋า ของใช้ ของตกแต่งบ้าน เช่น ผ้าปูที่นอนสีมงคล
- เครื่องประดับ สร้อยข้อมือ สร้อยคอ ที่มีการออกแบบจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระพิฆเนศ ท้าวเวสสุวรรณ หินมงคล
- เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของทองคำปลุกเสกหรือว่านมงคล
- หมายเลขโทรศัพท์มงคล
- ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คอนโดมิเนียม หมู่บ้านจัดสรร ที่นำศาสตร์ฮวงจุ้ยมาออกแบบ
โดย กลยุทธ์ Muketing เหล่านี้ช่วยดึงดูดผู้บริโภคทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่นิยมมูเตลูผ่านช่องทางออนไลน์
ธุรกิจสายมูกับโอกาสเติบโตบนเส้นทางแห่งศรัทธา
แม้กระแสความเชื่อความศรัทธาจะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในธุรกิจการท่องเที่ยว แต่ที่น่าสนใจคือ ธุรกิจกิจกรรมด้านความเชื่อความศรัทธา กลับมีการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลน้อยมาก ส่วนใหญ่เลือกประกอบธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดา เพราะปัจจุบัน มีนิติบุคคลในธุรกิจสายมูจำนวน 134 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 135.89 ล้านบาท ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ 46.27% รองลงมาคือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันตก คิดเป็น 26.12% 9.70% 5.22% 5.22% 4.48% และ 2.99% ตามลำดับ กรมขอเชิญชวนผู้ประกอบธุรกิจมาจดทะเบียนนิติบุคคล
ทำไมการจดทะเบียนนิติบุคคลจึงสำคัญสำหรับธุรกิจสายมู ?
- สร้างความน่าเชื่อถือ: การมีสถานะเป็นนิติบุคคล ย่อมสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ มั่นคง ส่งผลต่อความมั่นใจของลูกค้า และเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ
- ต่อยอดทางธุรกิจ: นิติบุคคลสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน สนับสนุนการขยายกิจการ พัฒนาสินค้าและบริการ
- โอกาสทางการตลาด: การจดทะเบียนช่วยให้เข้าถึงช่องทางการตลาดใหม่ ๆ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า
การจดทะเบียนนิติบุคคลจะทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือหรือขยายธุรกิจสู่การให้บริการอื่น ๆ การจดทะเบียนนิติบุคคลจะมีส่วนช่วยในการสร้างความน่าเชื่อถือและต่อยอดทางธุรกิจได้หลากหลายมากขึ้น
ทิศทางการจดทะเบียนธุรกิจครึ่งปีแรก 2567 สัญญาณบวกท่ามกลางความท้าทาย
ครึ่งปีแรกของปี 2567 กำลังส่งสัญญาณบวกสำหรับการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล กรมคาดการณ์ว่าจะมีการจัดตั้งธุรกิจใหม่จำนวน 46,000-50,000 ราย สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนและบรรยากาศทางธุรกิจที่เริ่มฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องจับตามอง อาทิ การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายภาครัฐ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สภาพภูมิอากาศ และนโยบายของรัฐบาล
สำหรับปัจจัยภายนอกประเทศ เช่น การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่นในรอบ 17 ปี ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจรุนแรงมากขึ้น และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น สถานการณ์การเลือกตั้งของสหรัฐฯ รัสเซีย และอินเดีย ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจของจีน คู่ค้าสำคัญของไทย ล้วนมีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 มีการจดทะเบียนธุรกิจทั้งสิ้น 1,902,239 ราย ทุนจดทะเบียน 29.83 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่จำนวน 912,297 ราย ทุน 22.10 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น
- บริษัทจำกัด 709,556 ราย ทุน 15.88 ล้านล้านบาท
- ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 201,283 ราย ทุน 0.48 ล้านล้านบาท
- บริษัทมหาชนจำกัด 1,458 ราย ทุน 5.74 ล้านล้านบาท
คิดเป็นสัดส่วน 77.78% , 22.06% และ 0.16% ของนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศตามลำดับ แม้จะมีปัจจัยท้าทายหลายประการ แต่ภาพรวมของการจดทะเบียนธุรกิจยังคงมีแนวโน้มดี สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของเศรษฐกิจไทยและความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ความเชื่อ อีกหนึ่งพลังที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ
ในสังคมเอเชียที่นับถือศาสนาพุทธ พราหมณ์ และฮินดู ความเชื่อมีบทบาทสำคัญในชีวิต ไม่เว้นแม้แต่วงการธุรกิจ นักธุรกิจตั้งแต่ระดับเล็กไปจนถึงเจ้าสัว ต่างมีวิธีแสดงออกถึงความเชื่อที่หลากหลาย แต่นอกเหนือจากตำราเศรษฐศาสตร์แล้ว พวกเขายังมี "ความเชื่อ" อื่น ๆ อะไรบ้างที่ขับเคลื่อนธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ?
วัตถุมงคล พลังแห่งศรัทธา
- พระพุทธรูป พระเครื่อง เทวรูป เครื่องรางของขลัง ล้วนเป็นวัตถุมงคลที่นักธุรกิจนิยมบูชาเพื่อเสริมสิริมงคล ค้าขายร่ำรวย เช่น คนไทยเชื่อในพระสังกกัจจายน์ พระสิวลี แม่นางกวัก กุมารทอง ปลัดขิก คนจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ นับถือฮกลกซิ่ว เทพเจ้ากวนอู เจ้าแม่กวนอิม เทพไฉ่ซิงเอี้ย
- สำหรับนักธุรกิจใหญ่ มักพบศาลพระภูมิ เจ้าที่ ศาลพระพรหม หรือเทพเจ้าที่ตนนับถือ หน้าสำนักงาน เพื่อขอพรและปกป้องคุ้มครองธุรกิจ
โหราศาสตร์ ดวงชะตา ตัวเลข ฮวงจุ้ย วิถีแห่งความสำเร็จ
ความเชื่อในแบบที่สองนี้ เป็นการนำหลักการ วิชาการ ตรรกศาสตร์ และโหราศาสตร์ มาใช้เพื่อเสริมดวงชะตาและความเจริญรุ่งเรือง
- ฮวงจุ้ย: การจัดฮวงจุ้ยร้านค้า ออฟฟิศ บ้าน
- สีมงคล: เลือกสีทาผนังร้าน ป้ายร้าน
- เลขมงคล: เบอร์มือถือ ทะเบียนรถ
- โหราศาสตร์: ดูฤกษ์ยาม ดวงชะตา
นักธุรกิจหลายคนยอมทุ่มเงินหลักหมื่นหลักแสนเพื่อสิ่งเหล่านี้ เพราะเชื่อว่าจะนำพาความสำเร็จมาสู่ธุรกิจ
ตัวอย่างการนำกลยุทธ์ผสมผสานความเชื่อ
- ร้านขายเครื่องประดับ นำ "แมวกวัก" ของญี่ปุ่น มาวางไว้หน้าร้าน เพื่อดึงดูดลูกค้า
- ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ตั้ง "ศาลเจ้าแม่กวนอิม" ให้ลูกค้าสักการะ
- นักธุรกิจใหญ่ ปรึกษา "ซินแส" ก่อนตัดสินใจลงทุน
ความเชื่อเป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจที่ไม่ควรมองข้าม นักธุรกิจผสมผสานกลยุทธ์ทางธุรกิจเข้ากับความเชื่ออย่างชาญฉลาด เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ ดึงดูดโชคลาภ และนำพาธุรกิจไปสู่ความสำเร็จ
เปลี่ยนกระแสแห่งศรัทธา นำทางสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
ในเวลานี้หลายจังหวัดเริ่มหยิบยกความเชื่อและศรัทธา มาเป็นจุดเด่นดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้างปรากฏการณ์ "ท่องเที่ยวสายบุญ" ที่ร้อนแรงไม่แพ้กระแส "สายมู" สถานที่ศักดิ์สิทธิ์เก่าแก่ เต็มไปด้วยผู้คนที่มาสักการะขอพร บ้างก็มาเพื่อสัมผัสพลังแห่งศรัทธา บ้างก็มาเพื่อเรียนรู้เรื่องราวทางวัฒนธรรม ไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้น นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวเอเชีย ต่างหลั่งไหลเข้ามาเยือนประเทศไทย ด้วยรากฐานทางวัฒนธรรมและความเชื่อที่คล้ายคลึงกัน การท่องเที่ยวเชิงศรัทธาจึงเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมโยงผู้คนจากทุกมุมโลก จนเกิดเงินสะพัดจาก "สายบุญ" กระจายสู่ธุรกิจท้องถิ่น โรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายสินค้าชุมชน ล้วนได้รับอานิสงส์ เกิดเป็นวงจรเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนชุมชนให้เติบโต
การท่องเที่ยวเชิงศรัทธาจึงไม่ใช่แค่การเดินทางไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่มันคือการเปิดประตูสู่วัฒนธรรม เรียนรู้วิถีชีวิต และสัมผัสพลังแห่งความศรัทธา ที่หลอมรวมผู้คน เป็นหนึ่งเดียวบนเส้นทางแห่งการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
ที่มา กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม