“เอสซีจี” ชี้เศรษฐกิจโลก อาเซียน จีน ยังชะลอตัวและฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ทำให้คาดยอดขายทั้งปี 66 ต่ำกว่าเป้าหมาย ประเมินหลังจากเห็นตัวเลขผลประกอบครึ่งปีแรกออกมาแล้ว พบว่า รายได้จากการขาย ลดลง 17% และทบมททวนแผนการลงทุนที่ราว 40,000 ล้านบาท มองเศรษฐกิจไทยเติบโตได้จากการท่องเที่ยว ห่วงเรื่องปัญหาภัยแล้ง
สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ทั้งจากเศรษฐกิจจีนและอาเซียนฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐ ยุโรปและญี่ปุ่น ยังเปราะบางจากภาวะเงินเฟ้อและดอกเบี้ยสูง ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้มีโมเมนตัมจากภาคการท่องเที่ยวของไทย ที่นักท่องเที่ยวยังเข้ามาในไทยอย่างต่อเนื่อง ภาคการลงทุนขณะนี้ยังมีการลงทุนอยู่ทั้งภาครัฐ และเอกชน
แต่มีความกังวลเรื่องปัญหาภัยแล้งที่ไทยกำลังเผชิญ คือ ประเทศไทยยังคงต้องเฝ้าระวังปรากฏการณ์ภัยแล้งเอลนีโญ ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงสิงหาคมปีนี้ถึงปลายปีหน้า โดยสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ หรือ สสน. คาดการณ์ว่า ในเดือนสิงหาคมถึงตุลาคมปีนี้จะมีฝนตกหนักและเกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่ ทุกภาคส่วนควรกักเก็บน้ำสำรองไว้ให้มากที่สุด และใช้น้ำกันอย่างประหยัด เพราะปีหน้าอาจเกิดเอลนีโญระดับรุนแรง และเกิดภาวะขาดแคลนน้ำในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการเกษตร ท่องเที่ยว หรืออุตสาหกรรม
“ เอสซีจีได้เร่งปรับตัวต่อเนื่องตามแผนงานด้วยการลดต้นทุน เปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด พัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) และสินค้ากรีน ประกอบกับเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว ด้วยอานิสงส์จากการท่องเที่ยว ตลาดวัสดุก่อสร้างดีขึ้นโดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยว” นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าว
สำหรับแผนการลงทุนปี 2566 ที่ราว 40,000 ล้านบาทนั้น จากสถานการณ์ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวขณะนี้ เอสซีจีคงต้องมีการรัดเข็มขัด และทบทวนแผนการลงทุนอีกครั้ง และมีความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น
เอสซีจี เร่งเครื่อง 4 ธุรกิจตอบเมกะเทรนด์โลก ได้แก่
จากครึ่งแรกปี 2566 มีรายได้จากการขาย 253,379 ล้านบาท ลดลง 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายลดลงทุกกลุ่มธุรกิจจากสถานการณ์ตลาดอ่อนตัว มีกำไรสำหรับงวด 24,608 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน
“คาดปีนี้ยอดขายต่ำกว่าเป้าหมาย จากปัจจัยหลักที่ส่งผลเชิงลบต่อยอดขายปีนี้มาจากตลาดอาเซียนหดตัว กลุ่มซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างบางประเทศหดตัว 10-20% ส่วนกลุ่มแพคเกจจิ้งในไทยและภูมิภาคมีดีมานต์ลดลง 10-20% ขณะที่กลุ่มเคมิคอลส์ราคาปรับลดลงจากปีก่อน 10-20%” นายรุ่งโรจน์ กล่าว
สินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High-Value Added Products & Services – HVA) ในครึ่งปีแรกของปี 2566 มีรายได้ 86,411 ล้านบาท คิดเป็น 34% ของรายได้จากการขายรวม ยอดขายสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Green Choice 137,258 ล้านบาท คิดเป็น 54% ของรายได้จากการขายรวม
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ในครึ่งปีแรกของปี 2566 ทั้งสิ้น 108,672 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 43% ของรายได้จากการขายรวม
ด้านสินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 มีมูลค่า 942,018 ล้านบาท โดย 45% เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน (ไม่รวมไทย)
ในไตรมาส 2/66 เอสซีจี มีรายได้จากการขาย 124,631 ล้านบาท ลดลง 3% จากไตรมาสก่อน โดยธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและธุรกิจแพคเกจจิ้งมีรายได้จากการขายลดลง ในขณะที่ธุรกิจเคมิคอลส์มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น
สำหรับมีกำไรสำหรับงวด 8,082 ล้านบาท ลดลง 51% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากมีกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน SCG Logistics จากการรวมธุรกิจ SCGJWD Logistics ในไตรมาสก่อน ทั้งนี้ มีกำไรที่ไม่รวมรายการพิเศษ (Profit excluding extra items) 5,216 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วงที่มีรายได้เงินปันผลรับจากการลงทุน ในธุรกิจอื่น (ธุรกิจยานยนต์)
ผลการดำเนินงานที่แยกเป็นรายธุรกิจ ดังนี้
3. ธุรกิจแพคเกจจิ้ง (SCGP) ในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 มีรายได้จากการขาย 32,216 ล้านบาท ลดลง 4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน สาเหตุจากปริมาณขายของกระดาษบรรจุภัณฑ์ลดลง โดยเป็นผลกระทบจากช่วงวันหยุดเทศกาลโดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซีย ขณะที่รายได้จากการขายสำหรับบรรจุภัณฑ์จากพอลิเมอร์กับบรรจุภัณฑ์อาหารเพิ่มขึ้น ทั้งนี้รายได้จากการขายลดลง 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งกระทบต่อความต้องการบรรจุภัณฑ์ทั้งจากตลาดในประเทศและส่งออก
โดยเฉพาะสินค้าคงทนและสินค้าไม่จำเป็น โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,485 ล้านบาท ลดลง 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากราคาขายของกระดาษบรรจุภัณฑ์และเยื่อกระดาษในภูมิภาคปรับตัวลง ส่วนกำไรสำหรับงวดเพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน สาเหตุจากต้นทุนวัตถุดิบ ค่าขนส่ง และพลังงานลดลง และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ธุรกิจแพคเกจจิ้ง (SCGP) มีรายได้จากการขายรวม 65,945 ล้านบาท ลดลง 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากปริมาณและราคาขายของกระดาษบรรจุภัณฑ์ลดลง ในช่วงที่อุปสงค์ของบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนและตลาดส่งออกยังชะลอตัว โดยมีกำไรสำหรับงวด 2,705 ล้านบาท ลดลง 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากราคาขายที่ลดลง โดยเฉพาะกระดาษบรรจุภัณฑ์ซึ่งเป็นไปในทางเดียวกันกับรายได้จากการขาย
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการบริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2566 ในอัตรา 2.5 บาท/หุ้น เป็นเงิน 3,000 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 25 สิงหาคม 2566 กำหนดผู้ที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล (XD) ในวัน 9 สิงหาคม 2566 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 10 สิงหาคม 2566
“ เอสซีจีบริหารต้นทุนพลังงานได้ดีช่วงราคาพลังงานผันผวน โดยเฉพาะธุรกิจซีเมนต์ในไทยเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนได้ 40% และธุรกิจพลังงานสะอาด SCG Cleanergy ที่ให้บริการซื้อขายไฟฟ้าครบวงจรสำหรับภาครัฐ ธุรกิจและอุตสาหกรรมเติบโตต่อเนื่อง โดยใช้เครือข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะที่กลุ่มบริษัทสหยูเนี่ยน บางปะกง รวมทั้งเอสซีจีติดตั้งโซลาร์ใช้ภายในและส่วนที่ให้บริการภายนอกทั้งภาครัฐและเอกชนผ่าน SCG Cleanergy คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 231 เมกะวัตต์ ไตรมาส 2 ปีนี้” นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าว
ขณะเดียวกันเอสซีจีลงทุนใน Rondo Energy สตาร์ทอัพด้านพลังงานสะอาดระดับโลกจากสหรัฐร่วมวางแผนผลิตวัสดุกักเก็บความร้อนที่กักเก็บความร้อนอุณหภูมิสูงกว่า 1,000 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของแบตเตอรี่ความร้อนนำพลังงานแสงอาทิตย์มาเก็บเป็นความร้อนใช้ในภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกที่มุ่งสู่ Net Zero ตามแนวทาง ESG
รวมถึง กลุ่มไทยเบฟและเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ร่วมลงทุนใน NocNoc ศูนย์รวมสินค้าและบริการบ้านออนไลน์เพื่อขยายธุรกิจในไทยและอาเซียน โดยตั้งเป้าสิ้นปี 2566 เติบโตเป็น 5,000 ล้านบาท
“ ยอดขายรวมของ SCGC ดีขึ้นจากไตรมาสก่อน จากปริมาณการขายสินค้าพอลิโอเลฟินส์ที่เพิ่มขึ้น และส่วนต่างราคาสินค้าบางชนิดเพิ่มขึ้น” นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าว
ล่าสุดโครงการปิโตรเคมีครบวงจร LSP เวียดนามกำลังทดสอบระบบในโรงงาน เพื่อเตรียมดำเนินการเชิงพาณิชย์
รวมถึง ได้ร่วมมือกับผู้นำเทคโนโลยีกรีนพลาสติกโลก2 ราย คือบริษัท Avantium N.V. จากเนเธอร์แลนด์ และ บริษัทไอเอชไอ (IHI) จากญี่ปุ่น เตรียมสร้างโรงงานต้นแบบนำก๊าซ CO2 มาแปรสภาพเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีรักษ์โลก รวมถึงพัฒนาวัตถุดิบทางเลือกตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
“เศรษฐกิจอาเซียนชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อยอดขายทั้งกลุ่มธุรกิจ ประกอบกับไม่รวมยอดขายของ SCG Logistics เนื่องจากได้รวมกิจการกับ JWD ในไตรมาสแรก ในขณะที่ยอดขายธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างลดลงเล็กน้อย แต่คาดว่ากำลังซื้อจะกลับมาโดยเฉพาะนวัตกรรมสินค้า บริการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ที่ต้องการความคุ้มค่า สะดวก ปลอดภัย รักษ์โลก ประกอบกับอาเซียนมีประชากรกว่า 560 ล้านคน
“เอสซีจีเตรียมคว้าโอกาสนำ SCG Decor เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ปักธงเป็นเบอร์หนึ่งในอาเซียน ชูนวัตกรรม Smart Bathroom โดยมูลค่าตลาดอาเซียนมีโอกาสสูงถึง 78,000 ล้านบาท ในปี 2569 ” นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าว
“ SCGP อยู่ระหว่างการพัฒนา Bio-based Plastic จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ ร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำจากอเมริกา Origin Materials โดยผลทดสอบล่าสุดได้ผ่านขั้นตอนที่ 1 การทดสอบในห้องปฏิบัติการ และขั้นตอนที่ 2 การปรับคุณสมบัติที่เหมาะสม พร้อมเข้าสู่ขั้นตอนที่ 3 Pilot Plant และเลือกพันธมิตรเพื่อร่วมมือพัฒนาในขั้นตอนต่อไป” นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าว
นอกจากนี้ ยังได้ทำการวิจัยและพัฒนา Biodegradable Wooden Foodservice Packaging จากไม้ยูคาลิปตัส เพื่อสนับสนุนการใช้ทรัพยากรทดแทน ตอบโจทย์เทรนด์การใช้บรรจุภัณฑ์อาหารรักษ์โลก และเพิ่มมูลค่าให้แก่ไม้ยูคาลิปตัส สร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียตั้งแต่ต้นทางการปลูกจนถึงการแปรรูปไม้ยูคาลิปตัส ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน