Storytelling หรือศาสตร์แห่งการเล่าเรื่อง เป็นอาวุธสำคัญที่จะช่วยยกระดับแบรนด์ และธุรกิจไม่ว่าจะเล็ก หรือใหญ่ เพราะมนุษย์ตัดสินใจโดยใช้ ‘อารมณ์’ มากกว่าเหตุผล แบรนด์ระดับโลกจึงไม่ใช่แค่มีสินค้าและบริการที่ดี แต่ต้องเล่าเรื่องเก่งด้วย ถึงจะสามารถกอบโกยยอดขายพร้อมกับได้ใจลูกค้าไปพร้อมกัน
PIABO บริษัท PR Agency ระดับโลกที่ดูแลแบรนด์เบอร์ต้นหลายวงการอย่าง BMW, Google, tinder, Linkedin ฯลฯ เผยกลยุทธ์การเล่าเรื่องของแบรนด์ระดับโลกให้ ‘กระตุกจิต กระชากใจลูกค้า’ ผ่าน 7 อารมณ์ต่อไปนี้ ที่แบรนด์หรือธุรกิจของคุณเอง ก็นำไปใช้ได้เช่นกัน
เรื่องราวของแบรนด์ที่ต้องการจะทำบางสิ่งเป็นเจ้าแรกในโลก, ให้บริการรวดเร็วที่สุดในโลก, มีเทคโนโลยีที่ใหม่ที่สุดในโลกนั้น สะท้อนถึงความทุ่มเทของแบรนด์ การไม่ยอมแพ้ และยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าด้วยว่า พวกเขาจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากแบรนด์
ตัวอย่าง
แบรนด์หรือธุรกิจใดที่สามารถสร้างความตื่นเต้น เรียกความสนใจจากลูกค้าได้ ก็มักจะถูกพูดถึง และอยู่ในความทรงจำของลูกค้าได้ยาวนานกว่า ยิ่งในยุคที่ทุกสื่อ และทุกสิ่งแข่งขันกันแย่งความสนใจของคนแบบบทุกวันนี้ด้วย นอกจากนี้ เมื่อรู้ค้ารู้สึกตื่นเต้น ก็เป็นไปได้สูงที่ลูกค้าจะอยากลองสินค้าหรือบริการของแบรนด์มากยิ่งขึ้น
ตัวอย่าง
ความหวัง ถือได้ว่าเป็นสิ่งกระตุ้นอารมณ์แง่บวกของมนุษย์ได้อย่างยิ่งยวด หากแบรนด์สามารถสื่อสารเรื่องราวที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกมีความหวัง หรือเชื่อมั่นในมนุษยชาติได้ ก็จะได้รับความรัก ความไว้วางใจจากมนุษย์ไปได้โดยอัตโนมัติ
ตัวอย่าง
ความกลัวถูกใช้เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนสังคมมาตั้งแต่สมัยเริ่มอารยธรรมมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง ศาสนา ความเชื่อ ฯลฯ แม้จะดูเป็นการสื่อสารเชิงลบ แต่ความกลัวก็มักถูกนำมากระตุ้นให้คนหยุดทำสิ่งหนึ่ง และหันมาทำอีกสิ่งหนึ่งอยู่เสมอ
ตัวอย่าง
FOMO หรือ Fear of Missing Out แรงกระตุ้นอันใหญ่หลวงของมนุษย์ที่ต้องการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสังคม เป็นอาวุธที่แบรนด์และธุรกิจปัจจุบันนำมาใช้เพื่อจูงใจให้ลูกค้าต้อง ‘ซื้อ ต้องลอง ต้องมี’ เป็นผลดีต่อธุรกิจ แต่เป็นผลเสียต่อเงินในกระเป๋า ซึ่งโซเชียลมีเดียเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีให้อารมณ์ข้อนี้ยิ่งทวีความรุนแรง
ตัวอย่าง
อีกหนึ่งการปลุกพลังด้านลบในฝั่งผู้ชม หรือผู้ใช้ ‘ความโกรธ’ นั้นมีพลังกระตุ้นให้ลูกค้าลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง โดยการสื่อสารของแบรนด์นั้นจะไม่ได้กระตุ้นให้ลูกค้าโกรธแบรนด์ (ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องดีแน่) แต่เป็นการทำให้ลูกค้ารู้สึกโกรธจนทนไม่ไหวกับสิ่งที่เป็นปัญหา ที่แบรนด์หรือธุรกิจอยากชวนลูกค้าลุกขึ้นมาแก้ปัญหาในทันที
ตัวอย่าง
แม้จะเบากว่าหากเทียบกับการกระตุ้นให้เกิดอารมณ์โกรธ แต่การสื่อสารแบบที่ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกคันไม้คันมือกับความไม่สมบูรณ์แบบบางอย่าง หรือท่าทีที่ยียวนกวนโอ๊ย ก็จะสามารถกระตุกให้เขาลุกขึ้นมาลงมือทำสิ่งที่เราต้องการได้
ตัวอย่าง
Tilo Bonow ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ PIABO ย้ำว่า “ถ้าเราไม่เล่าเรื่องของเรา คนอื่นจะเล่าให้แทน” หลายครั้งที่เมื่อแบรนด์หรือธุรกิจ ขาดการสื่อสารกับลูกค้าและสังคม ทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิด หรือคลาดเคลื่อน จากการสื่อสารของผู้ใช้ที่ไม่พอใจ ชาวเน็ตที่นั่งอยู่หน้าคีย์บอร์ด หรือแม้แต่แบรนด์คู่แข่ง ที่ทำหน้าที่สื่อสารแทนเรา
หากแบรนด์หรือธุรกิจไม่ยิมสื่อสารความพิเศษของตัวเอง หรือเรื่องราวอันยาวนานที่สั่งสมมาหลายสิบปี คนอื่นก็จะมองและบอกต่อว่าแบรนด์นี้เป็นแบรนด์เฉยๆ ไม่น่าสนใจ หรือหากแบรนด์ไม่เล่าว่ากำลังทำอะไรเพื่อโลกและสังคมอยู่บ้าง ก็จะถูกมองว่าอยู่ฝั่งธุรกิจที่ไม่เป็นมิตรต่อโลกได้
ตรงกันข้าม หากแบรนด์มุ่งมั่นตั้งใจสร้างสรรค์ และถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองแล้ว ไม่เพียงจะทำให้คนภายนอกเข้าใจแบรนด์ในแบบที่แบรนด์เป็นจริงๆ เท่านั้น แต่ยังจะช่วยสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ ซึ่งจะนำมาทั้งมูลค่าเพิ่มของสินค้า อิทธิพลต่อใจของลูกค้า ชื่อเสียงและความแข็งแกร่งของธุรกิจได้อีกด้วย
ที่มา : PIABO, Bored Panda, Adobe, Luxury Academy, Business Insider, Dailymail, Business Today